เรื่องพระสงบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
มันหาเหาใส่หัว พอเหามาแล้วต้องสาง เพราะเหามันขึ้นหัว มันพอใจนะ เราพอใจจะทำ เวลาเราค้านออกไป เราค้านเขาออกไปเขาก็โต้แย้งมา มันเป็นเรื่องธรรมดา เราอยากให้โต้แย้งด้วย เพราะในพุทธศาสนาไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การเสวนาธรรม การหาเหตุหาผลกันเพื่อความดีงามของสังคม สิ่งนี้ดีมาก แต่เราต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผล
ประเด็น : นี่ลูกศิษย์หลวงพ่อ.........พูดว่า ที่หลวงพ่อสงบบอกว่า เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เพราะเราได้พิสูจน์หมดแล้วนี่ คำว่าพิสูจน์หมดแล้วนะ เขาก็เขียนมา ที่พิสูจน์หมดแล้วนั้นทราบได้อย่างไร หลวงพ่อสงบเป็นอรหันต์แล้วหรือ ถึงรู้ว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ อยู่ในเว็บไซต์ ว่านี่ลูกศิษย์หลวงพ่อ.........บอกว่า ที่หลวงพ่อสงบบอกว่า เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เพราะเราพิสูจน์หมดแล้ว
หลวงพ่อ : พิสูจน์นี่ ถ้าพูดถึงคนที่มีคุณธรรม ง่ายๆ ง่ายมากๆ ในวงการทหาร ในนักรบนี่เขาจะรู้เลยว่าทหารคนไหน มีเครดิตขนาดไหน ออกรบผ่านสนามรบมามากน้อยแค่ไหน อย่างเช่น จปร.๗ นี่ เขาเชื่อถือศรัทธากันเพราะอะไร เขารบในสนามรบ เขาผ่านสงครามเวียดนาม เขาผ่านสงครามในประเทศลาว เขาผ่านสงครามมาทุกสงคราม คนที่ผ่านสงครามมาแล้วนี่ เขาผ่านสงคราม เขาวิกฤติขนาดไหน เขาเอาลูกน้องพ้นออกมาจากสงครามนั้น ด้วยความรอดชีวิตมาทั้งหมด นี่คือทหารที่ผ่านสงครามมาแล้ว
ในวงการแพทย์ เมื่อก่อนน่ะเรายังไม่บวช มันมีพี่ชายเพื่อน ชื่อหมออะไรจำไม่ได้ เขาพูดเขามาเล่าให้เราฟัง เพราะตอนนั้นเรายังเป็นเด็กอยู่ ตอนนั้นในวงการแพทย์ มีคนผ่าสมองได้ ๒ คน มีเขาคนหนึ่ง กับหมอ........ เขาบอกว่าในประเทศไทยนี่มีคนผ่าสมองได้อยู่ ๒ คน แล้วถ้าญาติพี่น้องใครก็แล้วแต่จะไปผ่าสมอง เอ็งจะไปโรงพยาบาลไหนก็แล้วแต่ เขาก็ต้องมาเรียกกูไป เขาว่า
เพราะในเมืองไทยมีอยู่ ๒ คน มีหมอ........กับเขา ชื่ออะไรจำไม่ได้ แล้วบอกเขาพูดกับเรานะ เขาบอกนี่เขาพูดเล่นหรือพูดจริงเราก็ไม่รู้ แต่เขาพูดกับเราเพราะตอนนั้นเราจำได้ เขาบอกว่า นี่เรานี่ชำนาญมากเรื่องผ่าสมอง แต่ให้ฉีดยงฉีดยาเราฉีดไม่เป็นเลย ก็เขาทิ้งมาหมดเลยไง นี่ไงเขารู้ได้อย่างไร ในวงการแพทย์ ในแพทย์เขาจะรู้กัน ใครมีความชำนาญมากน้อยขนาดไหน ใครทำได้ใครมือถึงหรือมือไม่ถึง
นี่ เราเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เพราะเราพิสูจน์หมดแล้วนี่ ฟังเทศน์นี่ ฟังเทศน์ว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์น่ะมันถูกต้อง หลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์ถูกต้องหมด จิตที่ส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัยให้เป็นผลเป็นทุกข์ ความคิดทั้งหมด ความคิดที่ส่งออกมันเป็นสมุทัย ความคิดของปุถุชนทั้งหมด ให้ผลเป็นทุกข์หมดเลย ต้องหยุดความคิด ในการหยุดความคิดนั้นก็ต้องใช้ความคิด
พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องตัดป่าถางป่า แต่ต้นไม้ไม่ได้ถางแม้แต่ต้นเดียว ตัดป่า ป่ารกชัฏในใจนี่ ตัดป่า ทำลายป่า ทำลายกิเลสหมดเลย ทำลายกิเลสหมดหัวใจเลย แต่ต้นไม้ไม่ได้ทำลายแม้แต่ต้นเดียว นี่พระพุทธเจ้าพูด ไอ้พวกเราก็ตัดป่านะ งงนะ งงมากเลยไอ้คนภาวนาไม่เป็น เอ้ แล้วตัดป่า แล้วทำไมต้นไม้ไม่ได้ตัด แล้วตัดป่ากันอย่างไร เราก็จะหมุนเคว้งคว้างหมดเลย
แต่ในเมื่อถ้าปฏิบัตินะ คนปฏิบัติไป มันเห็นการทำลายกิเลส มันทำลายกิเลสนะ กิเลสนะกิเลสไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่กิเลสนะ ความคิดไม่ใช่จิต กิเลสไม่ใช่ความคิด กิเลสไม่ใช่จิต กิเลสไม่ใช่ทุกๆ อย่างที่เราเป็น กิเลสเป็นกิเลส ฉะนั้นเวลาไปตัดป่านี่ ตัดป่าเห็นไหม ความคิดน่ะรกชัฏ ความคิดเรานี่เดือดร้อนไปหมดเลย ป่าไม้เราเข้าไปไม่ได้เลย ป่าเต็มไปหมดเลย เพราะต้นไม้มันหนาทึบหมดเลย แล้วเราจะลอดช่องผ่านป่าไปได้อย่างไร
ความคิดที่เราคิดกันอยู่นี่ มันมีกิเลสไหม มันมีกิเลสเพราะเราเป็นปุถุชน เรามีอวิชชา เรามีกิเลส มันถึงเป็นกิเลส แต่เวลาเราทำลายกิเลสหมดแล้วนะ พระพุทธเจ้ามีความคิดไหม ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มีความคิด พระพุทธเจ้าจำสามเณรราหุลได้อย่างไร จำพระเจ้าสุทโธทนะได้อย่างไร พระพุทธเจ้าจำนางพิมพาได้อย่างไร ขนาดว่าจะไปเทศน์โปรดนางพิมพานี่ พระพุทธเจ้าบอกกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปเลยนะ เพราะตอนนั้นมีแต่พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรเท่านั้น ที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าองค์อื่นไม่เป็นพระอรหันต์น่ะ ไป.. เข้าไปแล้วมันจะมีปัญหา คือว่าเขาวุฒิภาวะไม่ถึง จะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ แล้วจะบอกว่านี่เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของกิเลส
พระพุทธเจ้าบอกพระสารีบุตร บอกพระโมคคัลลานะเอาขึ้นไปเป็นพยานด้วย นี่เพราะว่าพระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ให้ไปโปรดนางพิมพา บอกพิมพานี่เป็นคนดีมากลูก เวลาลูกออกไปบวชแล้วนี่ นางพิมพาจะคอยฟังเสียงตลอดเวลา นอนกลางดินกินกลางทราย นางพิมพาก็มานอนกับพื้น พระพุทธเจ้ากินมื้อเดียว นางพิมพาก็กินมื้อเดียว ฟังข่าวพระพุทธเจ้าทำอย่างไร ทำอย่างนั้นหมด แต่ธรรมดาสามีภรรยาก็น้อยใจ ไม่ยอมมา ต้องให้พระพุทธเจ้าไปหา
พระพุทธเจ้าไปนี่ พระพุทธเจ้าเข้าใจ บอกกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เธอไปนะไปกับเรา เป็นพยาน แล้วเธอยืนเฉยๆ นะ อย่ายุ่ง ยืนเฉยๆ เพราะพระอรหันต์ พระอรหันต์เข้าใจกัน ยืนเฉยๆ เพราะพระพุทธเจ้ารู้ว่าไปหานางพิมพานี่ เพราะว่าด้วยความตรอมใจ ด้วยความช้ำใจ ด้วยความอะไรน่ะ คนมีกิเลสอยู่ แต่รักมาก
แต่มันก็มีความกิเลสมันบีบคั้นน่ะ พอเข้าไปปั๊บนี่ วิ่งเข้ามาเลยเห็นไหม วิ่งเข้ามานะกอดเลย ถ้าเป็นเรานะ ใครมากอดพระพุทธเจ้าเรายอมไหม เราก็บอกพระพุทธเจ้ามีกิเลสแน่ๆ เลย แต่นี่พระอรหันต์กับพระอรหันต์รู้กัน มันเป็นคู่เวรคู่กรรม คู่บุญบารมี เข้ามากอดนะเข้ามาอะไร โทษนะสามีตนน่ะ ก็สามีเราน่ะ ตอนนั้นมีกิเลสนะ กิเลสมันยังคิดยังยึดอยู่ว่าเป็นสามีเรา เข้ามาก็มากอดเลย
พระพุทธเจ้าก็ยืนเฉย พระพุทธเจ้ากำหนดจิตดูจิต เขาแบบว่ามันอัดอั้นตันใจ เพราะหนีออกไปใช่ไหม ตั้ง ๖ ปี ๗ ปี แล้วนี่ปีที่ ๗ เพิ่งกลับมา พอกลับมานี่ พอทำปั๊บแล้วพระพุทธเจ้าก็เฉย คนดีอยู่แล้ว คนดีคือพื้นฐานมันดีไง พอได้สติ พระพุทธเจ้าไม่ตอบสนอง มันก็หดเข้ามาๆ จิตมันหดเข้ามาๆๆ หดเข้ามาเป็นตัวเองนะ พอหดเข้ามาเป็นตัวเอง สติก็ฟื้นมาใช่ไหม ปล่อยออกมาเอง ก้มลงกราบ พระพุทธเจ้าเทศน์ นี่ไง ทำไมพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ไม่ติเตียนพระพุทธเจ้าแม้แต่คำเดียว นี่เป็นเรื่องบุญเรื่องกรรมนะ
ทีนี้ที่ว่าฟังเทศน์นี่ ฟังเทศน์นะรู้ได้อย่างไรว่า ไอ้หงบมันรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ดูลย์พระอรหันต์ ก็หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดถูก แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านก็มีวุฒิภาวะ ครูบาอาจารย์เราท่านก็เชื่อ เราแปลกใจนะกรณีอย่างนี้ กรณีว่าทำไมหลวงตานี่ ท่านชมครูบาอาจารย์มาก ทำไมหลวงตาไม่พูดถึงหลวงปู่ดูลย์เลย หลวงตาพูดถึงหลวงปู่ดูลย์น้อยมากเพราะอะไร เพราะเทคนิคการสอน เรามาทำวิจัยของเราเองไง ถ้าหลวงตาท่านนี่ท่านจะพูดถึงหลวงปู่ฝั้น พูดถึงหลวงปู่ขาวพวกนี้ เพราะพวกนี้สอนพุทโธ สอนโดยหลัก
ทีนี้หลวงปู่ดูลย์น่ะท่านสอนดูจิตเหมือนกัน นี่หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนดูจิตนี่ มันต้องคนมีรากฐานไง ฉะนั้นถ้าสอนดูจิต สอนต่างๆ ไป มันต้องสอนถูกไง เหมือนกับทางการแพทย์นี่ พอเราจบแล้วนะ แพทย์พื้นบ้าน แพทย์ประจำบ้านใช่ไหม พอเราจะเข้าเฉพาะทางนี่ มึงจะไปทางไหน แล้วทางที่ว่าอย่างผ่าตัดสมอง อย่างผ่าอย่างนี้มันมีกี่คน คนที่มีวุฒิภาวะพร้อมที่จะขึ้นมาสายนี้มันมีน้อย
ฉะนั้นการดูจิตนี่ การพุทโธ พุทโธ นี่เหมือนพวกเรานี่ทำงานบนพื้นดิน เราทำงานบนพื้นดิน เราจะหกล้มคลุกคลาน เรามันก็ไม่ตกดินใช่ไหม แต่ถ้าคนทำงานบนยอดตึก ไปทำงานในที่สูงนี่ ถ้ามันไม่มีอะไรรองรับมันจะตกมา การพุทโธๆ นี่ มันเผชิญกับความรู้สึก แต่ความคิดดูจิตนี่ มันใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่ มันเหมือนกับเราทำงานบนอวกาศ ถ้ามันพลาดมามันก็ตกหมด ฉะนั้นหลวงปู่ดูลย์ หลวงตาท่านถึงไม่...
สังเกตุได้หลวงตาท่านไม่ได้เน้นตรงนี้เลย แล้วเราเข้าใจด้วย นี่พูดมาอย่างนี้ เดี๋ยวก็บอกไอ้หงบเข้าใจได้อย่างไรอีกล่ะ เราเข้าใจว่า ตรงที่ว่าหลวงตาท่านพูดถึงประสบการณ์ของท่าน คนเรามันมีประสบการณ์ อะไรที่เราทำแล้วมันอุปสรรคนี่ มันจะฝังใจ เหมือนพ่อแม่นี่ใครเป็นพ่อแม่คนนะ เราทำอะไรก็แล้วแต่นะ ถ้ามันเป็นอุปสรรคของเรานี่ เวลาลูกเรานี่ เราไม่อยากให้เจออุปสรรคนั้นเลย เราพยายามให้ลูกเราพ้นอุปสรรคนี้ไป
หลวงตาน่ะท่านออกมาปฏิบัติ ท่านมาจำพรรษาอยู่จักราช ๑ พรรษา ๑ พรรษาคือท่านเร่งความเพียรอยู่ ๓-๔ เดือน จิตนี้ยอดเยี่ยมเลย จิตนี้เป็นสมาธิแข็งปึ้กเลย แล้วก็จะตามหาหลวงปู่มั่น ก็แวะมาที่บ้านตาดนี่ มาเหลากลด มาทำกลดนี่ ท่านบอกทำกลดหลังหนึ่งไม่ทันเสร็จ จิตเสื่อมหมดเลย รีบประกอบกลดให้เสร็จ พอรีบประกอบให้เสร็จรีบออกวิเวกเลย ท่านบอกทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น เพราะอะไร เพราะท่านกำหนดรู้ที่จิต คือดูจิตนี่แหละ แต่ท่านไม่พูด ท่านบอกว่า ท่านกำหนดอยู่ที่จิต หลวงตาท่านพูดบ่อย เรากำหนดจิตไว้เฉยๆ เรากำหนดที่จิต ก็ดูจิต เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม อย่างไรก็ขึ้นไปไม่ได้
แล้วมาพิจารณาดูทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้เพราะมันไม่มีคำบริกรรม ท่านบอกเลย ท่านบอกว่ากำหนดดูจิตๆ นี่เป็นสมาธิได้ไหม เป็น เป็นขึ้นไป ท่านบอกเหมือนเข็นครกขึ้นเขา ๒-๓ วันมันก็กลิ้งทับมา แล้วมันก็จะยืนอย่างนี้ไม่ได้ เพราะประสาเราน่ะหลักลอย เราเปรียบเทียบบ่อย เปรียบเหมือนคนเล่นว่าว คนเล่นว่าวมันต้องมีว่าว มีเชือก มีลม แล้วคนนี่จับเชือกไว้ แต่เราเห็นเขาเล่นว่าวใช่ไหม เราก็เอาว่าวขึ้นมาแล้วร่อนขึ้นไปเลยนี่ ไม่มีเชือก ไม่มีลมนี่ มันจะจับได้อย่างไร มันไม่มั่นคงไง
ท่านถึงบอก ท่านใช้ปัญญาของท่านเอง ว่าท่านขาดอะไร ท่านก็ใช้ปัญญาว่า เราคงขาดคำบริกรรม นี่บุญกุศลมันเสริมกันหมดนะ นี่ธรรมะจัดสรร ธรรมะจัดสรรไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็สอนนะ แล้วหลวงปู่มั่นท่านต้องไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ แล้วทีนี้ก็ทิ้งให้หลวงตา บอกรอเราอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกลับมา ท่านบอกพออยู่องค์เดียวนะ ท่านกำหนดพุทโธทั้งวันเลย พุทโธๆๆๆ ๓ วันแรกอกแทบระเบิด นี่ ๓ วันแรกอกแทบระเบิดเลย เพราะอะไรนะ
เพราะคนเรานี่เหมือนเด็ก ลูกเราหลานเรานี่ปล่อยให้มันเที่ยว ใจแตกหมดเลย แล้วบังคับไม่ให้มันไป มันจะยอมไหม จิตถ้ามันเคยทำของมันอย่างนั้น ดูจิตมันสบาย มันปล่อยทิ้งไป แล้วพอบังคับให้มัน พุทโธๆ ให้มันอยู่กับที่เนี่ย ๓ วันแรกอกแทบระเบิดเลย แต่พอที่สาม ที่สี่ ที่ห้าไปเข้าที่แล้ว นี่ไงคนที่เคยเห็นโทษของมัน ถ้าทำอย่างนี้มันจะเห็นโทษมัน แต่ท่านไม่พูดมามันกระแทกกระเทือน มันกระทบ กระเทือนหมู่คณะ
แต่เราเห็นกับหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราถึงโต้แย้ง ถ้ามันจะเป็นการดูจิต ของเราก็ทำอยู่ แต่ของเราเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ไม่ใช่การดูจิตอย่างนั้น ฉะนั้นย้อนกลับมาที่หลวงตา พอหลวงตาท่านทำอย่างนั้นปั๊บนี่เห็นไหม ท่านถึงบอกว่าต้องให้พุทโธ แต่ท่านใช้คำนี้นะ หลวงตาท่านใช้คำพูดที่นุ่มนวลมาก ที่ไม่กระทบกระเทือนกัน เวลาจะสอนภาวนาท่านบอกว่า เราชอบพุทโธว่ะ เราเลยให้บริกรรมพุทโธ ท่านจะใช้คำนี้ตลอดเลย เราชอบพุทโธ เราชอบพุทโธ หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ประจำ เราชอบพุทโธ แต่นี่เราชอบพุทโธ เราถึงสอนพุทโธเห็นไหม
แล้วเราก็มาย้อน นี่ไงทำไมถึงรู้ว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ ทำไมหลวงตาท่านทำอย่างไร แล้วเราฟังท่านเทศน์นี่ ฟังท่านเทศน์ ฟังท่านเล่าประสบการณ์ของท่าน แล้วเราเคยปฏิบัติไง แล้วเราก็มาเทียบไง เราชอบพุทโธว่ะ เราถึงสอนพุทโธ นี่ไงจริงๆ ท่านจะบอกว่าถ้าพุทโธมันดีหรือพุทโธมัน.. เราถึงพูดนะคำว่าพุทโธที่เราอธิบายบ่อยเห็นไหม พุทโธนี่เวลานึกพุทโธนี่ พุทธานุสสติ เรานึกพุทโธๆๆๆ พุทโธเป็นชื่อของพระพุทธเจ้า เหมือนเราคิดถึงพ่อเรา พ่อๆๆๆ พ่อนี่ใจเราอยู่กับพ่อไหม
พุทโธๆๆ คิดถึงพระพุทธเจ้านี่ มันเป็นธรรมะ มันเป็นความคิดที่สะอาด ความคิดโดยการฟุ้งซ่าน การตรึกในธรรมอะไรก็แล้วแต่ ความคิดที่เราคิดนี่ มันคิดโดยกิเลส คิดโดยเรา นั้นเราก็เปลี่ยนความคิดเป็นพุทโธๆๆๆ ซะ เหมือนเด็กไม่รู้อะไรผิดอะไรถูกเลย แต่พอบอกว่ามึงจับความถูกนี้ไว้ ขาวกับดำน่ะ มึงกอดขาวไว้ เดี๋ยวมึงจะรู้เองว่าขาวหรือดำ
แต่นี้อานาปานสติ หรือการดูจิตต่างๆ นี่ มันเป็นกลาง คือว่ามันเป็นความคิดทั่วไป เป็นพื้นฐานทั่วไปที่ใครก็มีสิทธิคิดได้ ใครก็เลือกได้ มันไม่แบ่งขาวแบ่งดำเห็นไหม ความคิดนี่ ความคิด เราคิดดีก็ได้ คิดชั่วก็ได้ เราคิดอะไรก็ได้ มันเป็นกลาง คำว่ากลางนี้ไม่ใช่กลางธรรมนะ กลางกิเลสน่ะ ถ้ากลางธรรมะมันจะลง ลงมัชฌิมาปฏิปทา นี่มันกลางกิเลสไง กลางคือ สิทธิเสรีภาพที่ใครก็คิดได้ไง นี่ท่านถึงบอกว่าท่านชอบพุทโธว่ะ ท่านชอบพุทโธ แต่ถ้ามีจริงๆ แล้ว ท่านจะพูดชัดๆ เลย แต่นี้มันจะกระเทือนกันไง มันกรรมของสัตว์
ฉะนั้นไอ้ที่ว่ารู้ได้อย่างไรว่า หลวงปู่ดูลย์ท่านหมดกิเลสแล้ว คำสอนนั่นท่านบอก คำสอนน่ะ ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม ในโลกนี้มีแต่รูปแต่นาม หลวงปู่ดูลย์เวลาท่านเทศน์สุดยอดนะ ใครฟังไม่ออกหรอก ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม ความรู้สึกน่ะ ท่านพูดจุดและต่อมไง หลวงตาบอกจุดและต่อม จุดและต่อมของผู้รู้ นี่วิทยานิพนธ์ของใครของมัน นี่เวลาของหลวงปู่ขาวเห็นไหม ของหลวงปู่ขาวว่าอะไรนะ นี่จิตนี้เหมือนเมล็ดข้าว ถ้าข้าวนี้ยังไม่สีตกลงดิน มีน้ำ มีดิน มีอากาศ มันก็จะงอกเป็นธรรมดา ข้าวนี้ถ้าได้หุงให้มันสุกแล้ว ข้าวนี้จะไม่เกิดอีก นี่วิทยานิพนธ์ของหลวงปู่ขาว
ทีนี้หลวงปู่บัวเห็นไหม ขางคาน ขางคานของคาน หลวงปู่คำดี หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ดูลย์เห็นไหม จิตนี่เป็นรูป ความคิดเป็นนาม มีรูปมีนามมันหมุนไป นี่มันเป็นวิทยานิพนธ์ของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ถนัดทางนี้ไง นี่รูปของจิต กับอวิชชาความคิดน่ะ นี่วิทยานิพนธ์ของหลวงปู่ดูลย์ ไม่มีใครฟังออกหรอก ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล มันจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร แล้วนี่มีเหตุมีผลอย่างนั้นท่านถึงพูดของท่านถูกไง
แล้วบอกรู้ได้อย่างไร หลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ และไอ้หงบมันเป็นอะไร มันถึงไปบอกหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เอ้า ก็กูเชื่อของกู กูจะผิดหรือ กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก กูเป็นขี้นี่แหละ แต่กูว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ทำไม เอ้า กูเป็นขี้ แต่กูชมหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ ทำไม เป็นอะไร ชมเพราะว่าท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ ท่านเป็นพระที่ดี เราเชื่อมั่นมาก ทีนี้ว่าหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดนะ ที่ว่าเชื่อเพราะอะไร เพราะหลวงปู่ดูลย์พูดมันไม่มีช่วงไหนมันผิดพลาด
ก็ดูจิตอยู่นี่ เราไปหาหลวงปู่ดูลย์บอกว่าใช่ไหม ดูจิตใช่ไหม หลวงปู่ดูลย์บอกว่าไม่ใช่ ไปอย่างไรก็บอกไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่หมายถึงว่ามันยังไม่เห็นจิต คือไม่ใช่จิตสงบว่างั้นเถอะ เห็นจิตคือจิตสงบ เห็นจิตคือจิตเป็นสมาธิ ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิหยุดไม่ได้ ความคิดทั้งหมดที่ส่งออก ความคิดทั้งหมดนี่ มันเป็นสมุทัยให้ผลเป็นทุกข์ ต้องหยุดความคิด การหยุดความคิดก็ต้องใช้ความคิด มันเลยเป็นปัญญาอบรมสมาธิ แต่นี้เขาคนมันไม่เป็นมันเลยบอก ดูเฉยๆ
เราเปรียบเทียบนะ เรานี่เป็นผู้อำนวยการ สำนักงานนี้เราจะตั้งงบประมาณ เราต้องหาบุคลากร เราจะต้องมีนโยบาย เราจะต้องบริหารจัดการให้องค์กรนั้น สำนักงานนั้นผ่านไปได้ นี่คือหลวงปู่ดูลย์ท่านสอน แต่มันมีคนๆ หนึ่งเข้าไปถ่ายรูปนั้นมา แล้วมันก็บอกว่ามันก็ดูจิตเหมือนกัน เป็นนักการภารโรง มันจะคอยแลกบัตรนี่ เข้าออก มันก็ดูแล้ว มันบอกสำนักงานมันบริหารได้นะ ไอ้รปภ.มันบอกว่าสำนักงานของมัน มันเป็นคนบริหาร ใครเชื่อมัน ก็ดูจิตไง ก็รถเข้าออกกูก็เห็นใช่ไหม เอ้า รปภ.มันยืนอยู่ตรงทางเข้าน่ะ รถเข้ามามันก็แลกบัตร รถออกมันก็แลกบัตร รถเข้าก็แลกบัตร ก็ดูจิตไง แต่องค์กรของมึง มึงบริหารอย่างไร
แต่หลวงปู่ดูลย์ จิตท่านบริหารองค์กร องค์กรเพราะอะไร นี่ไงความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม โลกนี้มีรูปกับนามเท่านั้นที่มันหมุนไป แล้วมันออกมา พอมันหมุนไปๆ ในอะไร หมุนไปก็เกิดความคิด หมุนไปก็เกิดความคิด หมุนไปก็เกิดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากแต่ละชั้นๆ มันหยาบ ละเอียดต่างกันอย่างไร เป็นโสดาบันอย่างไร เป็นสกิทาคากันอย่างไร เป็นอนาคาอย่างไร เห็นไหม
นี่ในพระไตรปิฎก พระโสดาบัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะพระโสดาบันจะไม่มีขันธ์ ๕ ไปดูเรียงอริยภูมิของหลวงตาสิ เรียงอริยภูมิของหลวงตาเห็นไหม ขันธ์ ๕ จะขาดที่อนาคา ไปดูอริยภูมิของหลวงตา เรียงอริยภูมิ เรียงจิตที่เป็นพระอรหันต์ของหลวงตา ไปเอาหนังสือมาอ่านเลย ท่านบอกเลย นี่ทางปริยัติ แล้วพูดออกไปทางโลกจะคิดว่า ถ้าเป็นโสดาบันแล้วนี่มันจะไม่มีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ จะไม่มี ขันธ์ ๕ ไม่มีเกิดกามราคะได้อย่างไร กามราคะทุกคนมีความรู้สึก ทุกคนจะเกิดกาม ทุกคนมีความคิดก่อนไหม ทุกคนมีสเป๊กของตัวเองไหม มันไม่มีขันธ์ มันเป็นอะไรน่ะ มันไปละกันที่อนาคา พอไปละกันที่อนาคานี่
เห็นไหมพอโสดาบัน สกิทาคา อนาคาแล้วมันเหลืออะไร จากอนาคาไปเป็นอะไร นี่ไงความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม นี่หลวงปู่ดูลย์สอนอย่างนี้นะ แล้วหลวงปู่ดูลย์สอนหลวงปู่กิมน่ะ กิม เห็นอวิชชาไหม เห็นจิตไหม พิจารณามัน พิจารณามัน หลวงปู่ดูลย์สอนมีผลงานเยอะนะ แต่เพราะอะไรนะ แต่ชุดนี้มันชุดที่ว่าเป็นปัญญาชน มีปัญญาไง พอมีปัญญา เหมือนกับเราศึกษาทางธรรมะ แล้วไปตรึกในธรรมะนี่โอ้โฮ จินตนาการ จินตมยปัญญา
นี่จะบอกว่าแล้วไอ้หงบมันรู้ได้ไงว่า หลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ รู้ไม่รู้นี่ มันเป็นการเคารพบูชา ครูบาอาจารย์หรือพระที่ประพฤติปฏิบัติ ท่านจะเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก รัตนตรัยของเรา ในเมื่อพระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในมุมมองของเราในความเห็นว่า ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วท่านประพฤติดีปฏิบัติชอบ หลวงปู่ดูลย์ไม่เคยออกมาโฆษณาชวนเชื่อ ให้ทุกคนเชื่อถือท่าน ท่านไม่ได้ออกมาปฏิบัติแล้ว ใครดูจิตแล้วจะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นอย่างที่ว่าการตลาดเขาจะจัดการได้
หลวงปู่ดูลย์ไม่เคยให้ใครเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคา พระอนาคา ไม่เคยให้ใครเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านจะสั่งสอนให้ผู้ปฏิบัตินั้นให้เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนขึ้นมาให้เป็นตามความเป็นจริง หลวงปู่ดูลย์ไม่เคยทำการตลาดโว้ย หลวงปู่ดูลย์ไม่เอาตลาดมากระจายธรรมะโว้ย พระอริยเจ้าแต่ละองค์ถึงซึ่งธรรมจะไม่เป็นโมฆบุรุษ ไม่เห็นแก่ลาภ สักการะ ไม่เห็นแก่ชื่อเสียง ไม่เห็นแก่สิ่งต่างๆ ที่จะบิดเบือนธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า หลวงปู่ดูลย์ท่านจะเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ ท่านไม่เคยออกมายุ่งกับโลกเลย ท่านมีแต่ช่วยเหลือโลก จรรโลงโลก
พระอรหันต์หรือครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม คนที่เป็นธรรมจริง คนที่เป็นธรรมจริงเพราะธรรมนี้ไม่ใช่โลก สิ่งที่ทางวิชาการที่มีการสื่อสารความคิดแค่ไหนก็แล้วแต่ ความคิดเกิดจากกิเลส ความคิดเกิดจากโลกทั้งหมด ความคิดเกิดจากธรรมนี่มันจะเกิดขึ้นมาได้ มันต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นมา แล้วการกระทำสิ่งที่เขากระทำกันอยู่นี้ มันไม่สมกับการที่จิตใจเป็นธรรม จิตใจเป็นธรรมมันจะรู้แบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ความดี ความดีของใคร ความดีของโลก ความดีของอริยเจ้า ความดีของโสดาบัน ความดีของสกิทาคา อนาคา ความดีอย่างนั้นมันลึกซึ้ง มีค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทอง มีค่ามากกว่าชีวิต สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
แต่การกระทำของเขานี่เป็นการตลาดทั้งหมด เราถึงไม่เชื่อ แต่หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่เคยมีกิริยาอย่างที่พวกนี้ทำกันเลย หลวงปู่ท่านสอนธรรมะเป็นธรรมะ ธรรมะต้องเป็นธรรม ธรรมมันจะเกิดขึ้นในหัวใจของผู้ปฏิบัติธรรม เราเชื่อคุณธรรมในหลวงปู่ดูลย์ คนที่มีคุณธรรมนะ ดูสิหลวงปู่ดูลย์ หลวงตา หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น ท่านเคยหาผลประโยชน์ใส่ตัวท่านแม้แต่เล็กน้อยไหม
ถ้าใครยังคิดหาผลประโยชน์ใส่ตัวเพื่อตัวเอง สิ่งนั้นไม่เป็นธรรม เพราะธรรมะต้องมีรส รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของธรรมจะประเสริฐที่สุด สิ่งใดในจักรวาลนี้ ใน ๓ โลกธาตุนี้ จะไม่มีค่าสิ่งใดๆ เทียบกับธรรมได้เลย แล้วสิ่งที่เขาทำกันนี่ เขาทำกันเพื่ออะไร แล้วสถาปนากันว่าโสดาบัน โสดาบันเดินโชว์กันทั่วประเทศไทยนี่ ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว ไม่เชื่อ
ถ้าคนเป็นจริงไม่ทำกันอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ พระพุทธเจ้าต้องเล็งญาณ เล็งญาณไปที่ไหน เล็งเข้าไปที่หัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกมันสมควรกับคุณธรรมไหม ใคร ใจของใครจะเข้าถึง มีโอกาสสัมผัสได้ธรรมไหม แล้วอายุเขาสั้น พระพุทธเจ้าจะไปเทศน์ไปโปรดเขาก่อน พระพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ พระพุทธเจ้า พุทธกิจ ๕ เช้าเล็งญาณว่าใครจะมีโอกาสได้บรรลุถึงธรรม พระพุทธเจ้าจะไปเทศน์สอนคนนั้น แต่นี่ไม่ใช่ มาหาเรา มาอยู่ฟังเรา เป็นโสดาบันหมดเลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถึงไม่เชื่อไง
นี่รู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ ก็เคารพน่ะ ก็รู้ได้ด้วยศรัทธา ก็เคารพหลวงปู่ดูลย์ จะทำไม ทำไมถ้าบอกหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ จะจับฉันหรือ ติดคุก ผิดอาญามาตราไหน ถ้าเชื่อว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ โธ่..ไร้สาระ ไร้สาระมากๆ เลย เป็นพระอรหันต์เพราะว่าคุณธรรมของท่าน เราฟังเทศน์ท่านสิ เราดูพฤติกรรมของท่านสิ ท่านอยู่ที่วัดบูรพา ไม่เคยไปไหนเลย อยู่ในกุฏิไม่เคยออกไปไหนเลย มีแต่คนไปกราบ กราบคารวะท่าน นี่ไงไม่ตื่นในลาภ ไม่ตื่นในยศ ไม่ตื่นในชื่อเสียง ไม่ตื่นใดๆ ทั้งสิ้น นี่พูดถึงอันนี้เนอะ แล้วอันต่อไปมันจะอ่อนแล้ว มันจะไม่มันแล้วล่ะเนอะ เยอะมาก
หลวงปู่ดูลย์น่ะครูบาอาจารย์นะ ดูอย่างหลวงปู่แหวนสิ ดูอย่างหลวงปู่หล้า หลวงปู่หล้าภูจอก้อนี่ หลวงปู่หล้านี่กับหลวงปู่แหวนนี่ ท่านเอาหลวงปู่มั่นเป็นตัวอย่าง หลวงปู่หล้านี่ท่านเป็นไส้เลื่อน ไปโรงพยาบาลแค่เย็บเข้าไปนะ ไส้เลื่อนมันก็หาย แล้วเขาก็อ้อนวอน อารธนา ขอร้อง ให้เข้าโรงพยาบาล แค่ไปเย็บให้ไส้เลื่อนมันหายไปเท่านั้นน่ะ ท่านไม่ยอมไป
ท่านบอกหลวงปู่มั่นไม่เคยพาเข้าโรงพยาบาล ท่านไปบิณฑบาตกลับมา ไส้เลื่อนมันไหลลงไปที่อัณฑะ ท่านก็นอนกับต้นไม้ ยกเท้าขึ้นสูงๆ ให้ไส้มันไหลกลับ แล้วก็เดินกลับวัด บิณฑบาตกลับมาถึงที่ ท่านก็นอนแล้วก็เอาเท้าพาดขึ้นไปบนต้นไม้ ยันไว้ให้ไส้มันไหลกลับเข้าไป นี่คนที่มีคุณธรรม ท่านองอาจกล้าหาญ
หลวงปู่แหวนนะ นี่ในหลวงเป็นผู้อุปัฏฐาก ไปรักษาที่ไหนก็ได้ ไปไหนก็ไม่ยอมไป จนต้องไปสร้างห้องผ่าตัด ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ไอ้ที่ดอยแม่ปั๋งที่มีปัญหาไม่ใช่หลวงปู่แหวน มันเป็นเจ้าอาวาสที่นั้นบริหารจัดการ มันก็เลยเป็นเรื่องโลกๆ ไป แต่ใจคนที่มีคุณธรรมไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่หลวงปู่แหวนไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส หลวงปู่แหวนเป็นประธานสงฆ์ แต่มีเจ้าอาวาสที่นั่นเขาไปบริหารของเขา ก็เลยยุ่งไปอย่างนั้น คนที่มีธรรมในหัวใจนะ บางทีไม่บริหาร ลอยไป ไอ้ข้างล่างก็มีปัญหาไง นี่พูดถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ
แล้วเป็นธรรมอย่างที่การกระทำที่เขาทำอยู่นี่ มันเป็นการตลาด ถ้าเป็นการตลาดแล้วนี่ มันชักนำให้ชาวพุทธนี่หลงผิด คำว่าหลงผิด พอมีความศรัทธาความเชื่อเข้าไปปฏิบัติ เขาว่าได้มรรคได้ผลกัน แล้วพอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วนี่ มันจะเป็นการเสียใจไง มันจะเป็นการสะเทือนใจ ถ้าคนเข้าไปแล้ว รู้ว่าตัวเองทำแล้วผิดพลาด หรือทำแล้วมันเสียหายนี่ มันจะทำให้ศาสนานี่สั่นคลอน เหตุผลที่เราพูดมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เตือนสติชาวพุทธ
เราพูดเพื่อเตือนสติกันว่า การประพฤติปฏิบัติน่ะ ปฏิบัติเถอะ ปฏิบัติให้จริงจังขึ้นมา ถ้าได้ผลตามความเป็นจริงนี่ ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน ไม่ต้องให้ใครการันตี ไม่ต้องให้ใครบอก ไม่ต้องการให้ใครรับรอง ไม่มี ไม่มีใครรับรองใครได้ มันจะเป็นความจริงของจริงในใจดวงนั้น ฉะนั้นเราจะมีสิทธิอะไรไปค้ำประกันหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์น่ะ แต่เราเชื่อของเรา เชื่อด้วยความบริสุทธิใจ เชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจเลย มีแต่ไม่เชื่อต่างหากที่เขาจะว่า ไอ้นี่เชื่อก็มีโทษเนอะ
เราอ้างหลวงปู่ดูลย์ ว่าถ้าหลวงปู่ดูลย์มีชีวิตอยู่ จะบอกพวกนี้ผิดหมด เราอ้างหลวงปู่ดูลย์เลย ถ้าหลวงปู่ดูลย์มีชีวิตอยู่นะ จะบอกเลยการสอนอย่างนี้ผิดหมด เพราะหลวงปู่ดูลย์จะบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ คำว่าใช่ไม่ใช่นี่ การมาดูจิตนี่มันเข้าไปเห็นจิต พอเข้าไปเห็นจิต เหมือนกับที่เราพูดเมื่อเช้านี่ว่า ลูกชายอนาถะนี่ พอเข้าไปแล้วมันจะรู้จักใจตนเอง แล้วรู้จักใจตัวเองแล้วไม่เป็นอย่างนี้ แล้วคำพูดจะไม่เป็นอย่างนี้ ที่เขาพูดกันอยู่นี่ คำพูดมันจินตมยปัญญา คือ จินตนาการแล้วพูดได้ พอพูดได้แล้วเอามาเรียน
เหมือนนักกฎหมาย นักกฎหมายนี่เวลาเขาจะฟ้องนี่ เขาพิมพ์สำนวน เขาจะเขียนสำนวนรัดกุมมาก แล้วฟ้องนี่ เขาจะเอาคนผิดเข้าคุกได้ เราเป็นทะแนะ เราอยากจะเขียนสำนวนมั่ง เขียนไปเขียนมานะ ผู้ต้องหาหลุดหมดเลย เพราะมันเขียนผิดเขียนถูก ไอ้คำสอนที่เขาสอนกันน่ะ ดูจิตนะ มันก็นั่นนะพูดกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็ต้องทำสมาธิ เดี๋ยวก็ไม่ต้องทำสมาธิ เดี๋ยวก็ต้องมีสติ เดี๋ยวก็ต้องไม่มีสติ แล้วมึงจะเอาอะไรมึงก็บอกเอาสักอย่างสิวะ มึงบอกสิวะมึงจะทำอย่างไร เอาสักอย่าง เอาให้มันจริงๆ สักอย่าง กลับไปกลับมา เดี๋ยวไอ้โน่นก็ไม่ต้องทำ เดี๋ยวก็ต้องทำ
ไอ้ของเราเวลาพูด เราไม่พูดกลับไปกลับมานะ เราพูดว่า เวลาปฏิบัตินี่มันมีปุถุชน เราต้องทำความมั่นคง พอความมั่นคงมีหลักมีเกณฑ์เป็นกัลยาณปุถุชน คือ ปุถุชนนี่แต่ทำสมาธิได้ โดยธรรมชาตินี่ ปุถุชนมีสมาธิแล้ว ถ้าเราไม่มีสมาธิเราจะเป็นคนบ้า แต่เป็นสมาธิของปุถุชน มันก็ใช้ปัญญาได้ด้วยปุถุชน ถ้าเราควบคุมจิต อย่างไอสไตน์นี่ เวลาเขาทำวิจัย เขาเคร่งเครียดของเขานี่ นั่นนะจิตของเขามันจะเป็นสมาธิ คนที่เป็นสมาธินี่นะจะทำให้คนทำการวิจัย การใช้สมอง การใช้ต่างๆ นี่รัดกุม มีปัญญาเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเรื่องโลกๆ
แต่พอเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือ เราใช้คำบริกรรมนี่ มันจากปุถุชนมันจะเป็นกัลยาณปุถุชน จะเป็นกัลยาณปุถุชนเพราะอะไร จะเป็นกัลยาณปุถุชนเพราะมันเห็นโทษ โทษว่าถ้าเราไม่รักษาจิตเราให้มั่นคง ไม่รักษาจิตให้มีสติปัญญา มันจะโดนกิเลสชักลากไปด้วยรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร
ถ้าบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันก็ใช้ความคิดโดยธรรมชาติ โดยปกติของเรานี่แหละ แต่พอเราเห็นโทษของรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร บ่วงของมารเห็นไหม มารมันเอารูปปฏิเสธบูชาใจ พอบูชาใจนี่ เรารักษาใจเราได้นี่ เราไม่ไปตามบ่วงของรูป รส กลิ่น เสียง นี่เห็นไหม นี่ทำสมาธิได้ง่าย พอทำสมาธิได้ง่าย นี่กัลยาณปุถุชน ถ้ากัลยาณปุถุชน จะชำนาญในการเข้าออก ชำนาญเข้าออกจนรักษาจิตให้ตั้งมั่น รักษาจิตให้ตั้งมั่น จิตตั้งมั่นนี้ออกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม นี่วิปัสสนาเกิดตรงนี้
วิปัสสนาจะเกิดตรงนี้ ปัญญาโลกุตรปัญญา ปัญญาที่ใช้ในการฆ่ากิเลสจะเกิดตรงนี้ ไม่ใช่ดูจิตไป ดูจิตไป แล้วจะเกิดปัญญาเป็นพระอรหันต์ไปน่ะ คอมพิวเตอร์กูทำดีกว่ามึงอีกอ่ะ เวลาเขาทำวิจัยนี่ คอมพิวเตอร์มันสร้างอาวุธสงคราม โอ๋ย มันสร้างภาพอุโมงค์ลม โอ้โฮ คอมพิวเตอร์กูทำได้ดีกว่านี้เยอะหลายเท่า แล้วคอมพิวเตอร์กูไม่มีชีวิต คอมพิวเตอร์กูเลยไม่ได้อะไรเลย เพราะคนไปคิด ไม่เชื่อ อย่างไรก็ไม่เชื่อ
แต่เชื่อหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์นี่เชื่อ เพราะหลวงปู่ฝากไว้เราก็อ่าน ประวัติหลวงปู่ดูลย์เราก็ดู เทศน์หลวงปู่ดูลย์เราก็ฟัง แต่ถ้าองค์อื่นที่เราฟังที่เราไม่เห็นด้วยนะ เราฟังเราก็ไม่เห็นด้วย หลายองค์มากที่เราไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยนี่ไง ก็ไม่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ไง จิตสงบแล้วจะเกิดปัญญาเองก็ไม่เชื่อ สรรพสิ่ง กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นสักแต่ว่า ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะคนเป็นไม่พูดอย่างนั้น ผม ขน ฟัน หนังนี่ จิตมันรู้ จิตมันเห็น จิตมันแยกมันแยะ จนจิตมันทำลายแล้ว พระอรหันต์เท่านั้นถึงพูดสักแต่ว่าได้
แต่ถ้าเป็นปุถุชนพูดสักแต่ว่าไม่ได้ เป็นปุถุชนทุกอย่างต้องจริงต้องจัง หลวงตาบอกเลยต้องจริงต้องจัง อย่าทำเหลาะแหละ คนเหลาะแหละใช้ไม่ได้ แล้วพอพระที่ปฏิบัติไม่เป็นนะ โน่นก็เป็นสักแต่ว่า นี่ก็เป็นสักแต่ว่า เราก็นอนก่ายหน้าผากกันสักแต่ว่า มันจะได้อะไร ก็ได้แต่สักแต่ว่าไง ได้ธรรมะปลอมๆ ไง แต่ถ้าเป็นความจริงเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เราฟังเทศน์มาเยอะ หลายองค์มากปฏิเสธหมด ไม่ใช่
ถ้าใช่นี่เหมือนกับทางวิชาการนี่ เราจะสอนเด็ก เราจะทำให้เด็กมันสะอาดบริสุทธิ์ ทำให้เด็กมันดีขึ้นเห็นไหม แต่เราเป็นนักวิชาการนี่ เราจะเอาด็อกเตอร์นี่มาสอนอนุบาล บอกว่านี่นักเรียนอนุบาลนะต้องทำวิทยานิพนธ์ มันยังเขียนหนังสือไม่เป็นเลย นักเรียนอนุบาล ก.ไก่ ก.กา มันยังไม่รู้เลย มันบอกว่าสักแต่ว่า ธรรมะบอกสักแต่ว่าไง ปล่อยให้หมดเลย แล้วเด็กมันทำไง เด็กมันทำอย่างไร นี่ไง คนเป็นไม่เป็นมันอยู่ตรงนี้แหละ ดูออก ดูแค่นี้แหละ ดูแค่นี้แหละ รู้เลยว่าไอ้นี่เป็นหรือไม่เป็น
ถ้าคนเป็นนะ วิทยานิพนธ์ของด็อกเตอร์มึงเก็บไว้ก่อน นักเรียนอนุบาลมึงเรียนมา มึงท่องตัวอักษรให้ได้ มึงเขียนตัวอักษรให้เป็น แล้วมึงขึ้นมาเรื่อยๆ เดี๋ยวมึงจะได้ทำวิทยานิพนธ์ ถ้ามึงเรียนจบ มึงจะเป็น ด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์คือนิพพานไง ด็อกเตอร์คือธรรมของพระพุทธเจ้าไง แล้วจะเอาด็อกเตอร์ไปทุ่มให้คนโน้นคนนี้นะ มึงอย่าบ้า เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก
คนเกิดมาทั้งหมด กิเลสครอบหัวใจหมด คนเกิดมาทั้งหมด อวิชชาเต็มหัวใจ แล้วบอกเลย บอกสักแต่ว่า สักแต่ว่าก็ก้อนหินไง ก้อนหินมันสักแต่ว่า ก้อนหินมันวางไว้คือก้อนหิน ก้อนหินทำลายใครไม่ได้ จิตคนไม่มีทาง นี่ไงถ้าเชื่อก็คือเหตุผล กูเชื่อ แต่ถ้าไม่สมควรจะเชื่อพูดอย่างไรกูก็ไม่เชื่อ ไม่ใช่เฉพาะดูจิตหรอก เยอะแยะที่กูไม่เชื่อ เต็มไปหมด กูไม่เชื่อทั้งนั้น
เพียงแต่ว่า มันไม่ทำให้สังคมสะเทือนจนเกินไป มันไม่ทำให้ผู้ที่เป็นชาวพุทธนี่ หลงกันจนมากเกินไป ก็เรื่องของเขา กรรมของสัตว์ ใครเคารพบูชาใครก็สาธุ สาธุไม่ว่าหรอก แต่อันนี้มันสะเทือนสังคม มันสะเทือนสังคม แล้วสังคมมันจะกลับมาสะเทือนศาสนา สังคมมันสะเทือนไป สังคมมันมีปัญหาไป ก็จะย้อนกลับมาโทษศาสนา ว่าศาสนาพุทธนี่สอนให้คนหลงผิด แต่ความจริงศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้ใครหลงผิดเลย ไอ้คนที่มันสอนต่างหาก มันสอนให้หลงผิด ตัวศาสนาไม่สอนให้ใครหลงผิด
ประเด็น : หลวงพ่อ.........บอกว่า หลวงปู่มั่นเทศน์ว่า ทำสมาธิเนิ่นนาน พิจารณาไปฟุ้งซ่าน ให้มีสติ ให้ชี้ขาด อะไรนะ ใช้ ต้องเขียนชัดๆ หน่อยเนอะ ให้ชี้ขาดวันนี้แหละ
หลวงพ่อ : เราถามกลับว่า หลวงพ่อ.........รู้ได้อย่างไร หลวงปู่มั่นสอนอย่างนี้ เวลาเขาถามเราใช่ไหม ว่าไอ้หงบมันรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์ เราก็ถามกลับว่า เอ็งรู้ได้อย่างไร หลวงปู่มั่นสอนอย่างนี้
ประเด็น : สอนว่าทำสมาธิแนบแน่น พิจารณาไปแล้วฟุ้งซ่าน ให้มีสติ
หลวงพ่อ : สมาธิมันดีกว่าสติอีก
ประเด็น : ให้มีสติให้ชี้ขาดใช่ไหม ให้ชี้ขาด เท่านี้แหละ อ๋อ ให้มีสติในชีวิตประจำวัน หลวงปู่มั่นสอนอย่างนี้ (แค่นี้ก็อ่านไม่ออก แล้วก็ยังจะมาสอนเขาอีกนะ) ทำสมาธิที่เนิ่นนาน พิจารณาแล้วฟุ้งซ่าน ให้มีสติในชีวิตประจำวัน
หลวงพ่อ : หลวงปู่มั่นสอนอย่างนี้ หลวงปู่มั่นเวลาท่านสอน ท่านบอกว่าให้มีสติตลอดเวลา ในการเหยียด การคู้ การดื่ม เราเอากรณีนี้มาโต้แย้งกับอภิธรรมประจำ อภิธรรมนะ เวลาดื่ม เวลาลุกเห็นไหม เวลาเคลื่อนไหว รู้หนอ เคลื่อนไหวหนอ แต่หลวงปู่มั่นบอกไม่ต้อง เคลื่อนไหวก็คือเคลื่อนไหวแล้ว กินก็มีสติ รู้ก็มีสติ ไอ้นี่ไม่ใช่กินแล้วมากินหนอ กินเสร็จนะเออกินแล้ว เออกินหนอ อารมณ์ที่ ๒ แต่ถ้าปัจจุบันเป็นอารมณ์เดียว มันมีปัจจุบัน กับอารมณ์ที่ ๒ คือสัญญา อภิธรรมนี่สอนสัญญา เคลื่อนไหวต้องรู้ว่าเคลื่อนไหว
แต่หลวงปู่มั่น เคลื่อนไหวคือรู้ว่าเคลื่อนไหว มีสติอยู่กับปกติประจำวัน ฉะนั้นพอมีสติอยู่กับชีวิตประจำวัน ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็มีสติก็ปกตินี่แหละ แต่มีสติประจำ ในมุตโตทัยไปดูสิ นี่พระอรหันต์สอน พระอรหันต์รู้ เราเคลื่อนไหวนี่ ด่าคนอยู่ก็รู้ว่าด่าคน ไม่ใช่ด่าคนเสร็จ ต้องมีคนมาบอกหลวงพ่อนี่การด่านะ ก็กูด่าไปแล้ว นี่มันเป็นเรื่องปกติ คนจริงรู้จริงสอนจริง สอนจริงๆ นะ คนไม่จริงมันรู้ไม่จริง มันเอามาอ้าง
ชีวิตประจำวันน่ะ หลวงปู่มั่นแล้วก็มาหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นบอกเลยมาวัดให้วัดใจ ข้อวัตรปฏิบัติคือใจ นั่งรถเมล์ก็พุทโธ นั่งที่ไหนก็พุทโธ ชีวิตประจำวันนะ ชีวิตประจำวันก็อยู่กับพุทโธ นี่หลวงปู่ฝั้นสอนบอกว่าไปไหนให้วัดใจตัวเอง นั่งรถเมล์ก็พุทโธ อยู่ไหนก็พุทโธไปด้วย ไม่ใช่นั่งรถเมล์ แล้วหลวงปู่ฝั้นพูดเจ็บ หายใจเข้าหายใจออกทิ้งเปล่าๆ ลมหายใจที่หายใจกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันได้ประโยชน์แต่เฉพาะออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกาย
แต่ความจริงลมหายใจนี่ จะมีคุณค่ามากกว่านี้ ถ้าเรามีสติกับลมหายใจของเราเอง แล้วบอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ ทุกคนไม่มีเวลาเลย ถ้าคนไม่มีเวลานะ กลั้นลมหายใจให้ตายไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็เอาศพไปเผาเลย เพราะไม่มีเวลาไง แต่นี่มันเพราะมีลมหายใจไง ชีวิตเรามีเพราะลมหายใจ แล้วลมหายใจมึงไม่มีหรือ เวลาคือเวลาใช่ไหม ลมหายใจคือลมหายใจใช่ไหม ชีวิตคือชีวิตใช่ไหม ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ไม่มีเวลา เวลามันหมุนอยู่ที่นาฬิกาโว้ย ลมหายใจกูมันเข้าออกทุกวันน่ะ
หลวงปู่ฝั้นพูด นี่คนมีธรรมนะ มันพูดอะไรนะ มันสะเทือนขั้วหัวใจนะ แต่ถ้าคนไม่มีธรรมนะ มันจะไปสร้างนิทานไว้ก่อน เห็นไหมดูพระสิ เขาจะเขียนหนังสือนะ แล้วแปลภาษาอังกฤษไปไว้ส่งไปเมืองนอก แล้วก็เขียนภาษาไทย แล้วบอกตรงภาษาอังกฤษตรงกันเลย นี่ไงตรงกันเลยนี่นะ ฝรั่งมันก็ว่าอย่างนี้ไง เอ้า ก็มึงเขียนไป แปลไปไว้เองไอ้ห่า เหมือนกันการตลาดทั้งนั้นน่ะ เวลาทำเสร็จแล้วนี่ไงดูสิ ฝรั่งเขียนเหมือนกูเลย ก็มึงเขียนไป แล้วมึงแปลเป็นภาษาอังกฤษ อย่าเชื่อใครง่ายๆ นะ อย่าเชื่อใครง่ายๆ ต้องพิสูจน์
นี่บอกว่าชีวิตประจำวันนี่ พระป่าเราสอนประจำวันอยู่แล้ว แต่นี้เพียงสอนแล้วนี่ แต่ว่าแบบว่ามันไม่ทำวิจัย ไม่ทำให้มันเป็นตำราขึ้นมาให้เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส เวลาของเขานี่โอ้โฮ ต้องทำเป็นตำรานะ โอ้ฮู ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถึงเวลาปฏิบัติแล้ว วิชาการ ตำรา วางไว้ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์สอนเลย ประพฤติปฏิบัติให้เหมือนคนโง่ที่สุด คือโลกนี้ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความรู้สึกนี้อันเดียว ถ้าบอกว่ามีความรู้สึกด้วย ห่วงโน่นห่วงนี่นะ มันดึงความรู้สึกออกไปหมดเลย
เวลาปฏิบัตินะโลกนี้เหมือนไม่มีอะไรเลย มีเฉพาะความรู้สึกอันนี้ แล้วควบคุมความรู้สึกอันนี้ให้ได้ นี่คือการปฏิบัติ ปฏิบัติเหมือนคนโง่ที่สุด คนโง่ที่สุดมันจะเป็นคนฉลาดที่สุด คนโง่ที่สุดกระดูกเผาแล้วเป็นพระธาตุหมดเลย ไอ้คนฉลาดๆ นะ ตายห่าเกลี้ยงไม่ได้อะไรเลย ไอ้คนโง่ๆ นี่ ครูบาอาจารย์นี่โง่ๆ นี่ พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย โง่ไง มันฉลาดกับตัวเองไง ฉลาดกับเราเอาเราให้ได้ ค้นเราให้เจอไง นี่นั่งอยู่นี่ทุกคนลองบอกว่ารู้จักตัวเองตัวตนไหม นี่นาย ก นาย ข นาย ง นี่พ่อแม่ตั้งให้ทั้งนั้นน่ะ ตัวเองรู้อะไร แล้วดูสิตรงไหนเป็นเรา ชี้ไปไม่มีหรอก พอจิตสงบโอ้โฮ เราอยู่นี่เอง เราอยู่นี่เอง
เราจะหาอันเจ็บๆ นะ
ถาม : เขาบอกว่าเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือการรู้แจ้งมากกว่า ไม่ต้องทำตามรูปแบบ ไม่ต้องทำสมาธิ ไม่ต้องพิจารณาตามรูปแบบ ให้เจริญสติในชีวิตประจำวัน
หลวงพ่อ : ถ้าหมากูนี่ หมากูนี่เขาฝึกไว้ไอ้พวกดมๆ ดมไอ้นี่ไอ้หมาหากับระเบิด มันจะเป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อนเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันช่วยเหลือคน ไอ้หมาดมยาเสพย์ติดนี่ ไอ้หมาดมยาเสพย์ติดนี่ ไอ้หมาพวกนี้มันจะได้ก่อนเพื่อน การดำรงสติชีวิตประจำวันน่ะ ของดีๆ แต่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อน ดีกว่าน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้นะพระพุทธเจ้าสอนแล้ว พระพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปี อานาปานสติตั้งแต่ปฐมยาม อะไรนะ ปฐมยาม มัชฌิมยาม นั่นเวลาทำ มันมีอย่างนั้น
เพราะเขาพูดอย่างนี้ไง ชีวิตประจำวันน่ะ เขาคิดว่าธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ธรรมะเป็นพื้นๆ พวกนี้ธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ เหมือนกับพวกอภิธรรมนี่ พวกอภิธรรมเขามาหาเรา แล้วเขาบอกว่าพุทโธนี่ หรือว่าสมถะนี่ มันเป็นนิมิต มันทำให้คนติดนิมิต ทำให้คนหลงได้ ทำให้คนผิดพลาดได้ เขาก็เป็นลูกศิษย์พระป่านี่แหละ แล้วเขาก็มาปฏิบัติอภิธรรม แล้วก็บอกว่า อู้ฮู มันเป็นวิทยาศาสตร์เลย อู้ฮู จิตมันสงบมันรู้หมดเลย มันว่างมันรับรู้หมดเลย นี่อย่างนี้ไม่ถูกหรือ
มันผิดตรงนี้ ผิดตรงเป็นวิทยาศาสตร์นี่ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์คือเป็นทฤษฎี จิตนี้เป็นนามธรรม พอจิตนี้เป็นนามธรรมนี่ เราก็พยายามเอาความรู้สึกนี้มาเป็นทฤษฎีที่คงที่ นี้พอเป็นทฤษฎีคงที่นี่ มันจะไปขัดแย้งกับสมาธิ สมาธิมีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อย่างอารมณ์ความรู้สึกเรานี่ เวลาอารมณ์เราร่มเย็นเป็นสุข อารมณ์ที่เราลึกซึ้งกว่านี้มีไหม อารมณ์ของเรานี่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ฉะนั้นพออารมณ์มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานี่ มันบอกให้คงที่ คงที่แบบวิทยาศาสตร์นี่ มันก็เหมือนท่อนเหล็ก ดูสิเหล็กรีดร้อนรีดเย็น เหล็กที่เขาทำ เขาจะเอาขึ้นรูปเป็นรถต่างๆ นี่ เขาต้องเลือกชนิดของเขาเลย มันถึงเอามาทำเป็นวัตถุ เป็นสินค้าแต่ละชนิด เขาต้องใช้เหล็กคุณภาพสิ่งใด นี่บอกเป็นวิทยาศาสตร์ก็ชนิดเดียว
จิตเป็นอย่างงี้ๆ มันผิดต้องเป็นอย่างงี้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนี่มันกฎตายตัว นี่เป็นโลก โลกกับธรรม เพราะธรรมอะไร ธรรม ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วพอปัญญา มันมีโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา ในโลกุตรปัญญามันมีโสดาปัตติมรรค สกิทาคามรรค อนาคามรรค อรหัตตมรรค ปัญญาของคน ปัญญาการปฏิบัติมันอีกยาวไกล
แล้วบอกว่าใช้ชีวิตประจำวันหรือใช้สติประจำวัน มันปุถุชนไง แล้วมันจะแทงเข้าไปในอริยมรรคได้อย่างไร มันจะแทงเข้าไปมรรคตรงไหน กูอยากรู้นัก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เวลาครูบาอาจารย์นี่หลวงตาครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่า ท่านเดินจงกรมทั้งวันนี่ มันเป็นปุถุชนไหม มันเป็นปุถุชนได้อย่างไร มันเป็นปุถุชนเพราะอะไร
เพราะดูสิ นั่งตลอดรุ่ง อยู่กับหลวงปู่มั่นนั่งตลอดรุ่ง พอเวทนาเกิด สู้กับเวทนา แล้วเวทนามันเกิด คนปฏิบัติไปแล้วนี่ เวลาจิตมันสงบไปแล้วนี่ มันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องคายออก นี่ ๑๒ ชั่วโมง ๑๒ ชั่วโมงการพิจารณาต่อไปนี่ ต่อไปแต่ละหน ๒-๓ ชั่วโมงจิตมันก็ลงหนหนึ่ง พอลงหนหนึ่งไปปั๊บนี่ มันไปอยู่ในสมาธิลงสมาธิสักพักหนึ่ง จิตมันอยู่คงที่ไม่ได้ มันต้องคายตัวออกมา พอมันคายตัวออกมาปั๊บ มันก็เผชิญกับความทุกข์ยาก เผชิญกับความยึดมั่นของกิเลส มันก็ใช้ปัญญาไล่เข้าไปอีก จนจิตมันปล่อยกายเข้าไป มันก็เข้าไปสงบอีก
พอสงบอีกไว้สัก ๒-๓ ชั่วโมง มันก็คายตัวอีก พอคายตัวก็ออกทดสอบอีก ต่อสู้อีก การนั่งตลอดรุ่ง มันนั่งอย่างนี้ พอมันนั่งอย่างนี้ปั๊บ มันมีการต่อสู้กันเห็นไหม พอมีการต่อสู้กัน ถ้าวันไหนจิตมันไม่ลง จิตนี่ ความเจ็บปวดมันจะเจ็บปวดมาก วันไหนถ้าจิตมันลงได้ช้า ร่างกายมันบอบช้ำ เวลาลุกขึ้นมานี่มันตายหมด ประสาทมันตายหมด ต้องดึงขาออกไป เพื่อจะให้เลือดลมมันเดิน ให้เลือดลมมันเดินก่อน ให้รู้สึกสำนึกตัวทั่ว ถึงลุกมายืนได้ นี่เวลาการต่อสู้ของท่าน
นี่คือการต่อสู้ของท่านนะ แล้วพอท่านปฏิบัติไปเห็นไหม พอพิจารณาเวทนา เพราะมันเจ็บปวดมากต้องใช้การพิจารณา ถ้าไม่พิจารณา ถ้านั่งต่อไปนานๆ ท่านบอกเลย ความทุกข์ในโลกนี้แทบไม่รู้จักว่าอันไหนมันจะเท่ากับอันนี้เลย เหมือนกับว่าเรานั่งอยู่นี่ เรานั่งอยู่ปกติแล้วเอาท่อนฟืน เอาฟืนทั้งหมดทุ่มใส่เรา แล้วจุดไฟเผาเรา คือ เผาร่างกายนี้เลย เวลาเวทนามันเกิด แล้วปัญญามันเข้าไปต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับเวทนาจนเวทนามันดับ มันปล่อยทีเดียวมันไม่ขาด ปล่อยแล้วปล่อยเล่า เพราะท่านนั่งทั้งคืนใช่ไหม มันมีตั้งกี่รอบ
ถึงที่สุดนะพอพิจารณาเวทนา คือจิตที่มันมั่นคง จิตที่มันมั่นคงนี่ โสดาปัตติมรรคมันเกิดตรงนี้ โสดาปัตติมรรค เพราะจิตมันมั่นคง จิตมันเป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันมั่นคงแล้วเพราะต่อสู้กับเวทนามา พอต่อสู้เวทนามา มันเห็นช่องทางต่อสู้เคยชนะ เคยแพ้กันมา จิตมันมีเอกภาพของมัน จิตมันตั้งมั่นของมัน พอจิตตั้งมั่น จิตออกไปต่อสู้กับเวทนาอีก เพราะมันไม่ขาดไง มันตั้งมั่นมันต่อสู้แล้ว พอมันลงมันก็เข้ามาเป็นจิต
พอจิตออกจากอัปปนาสมาธิ เป็นอุปจารสมาธิ มันก็ต่อสู้เวทนาก็เกิดอีก เวทนาเกิดอีกก็ต่อสู้กันอีก ต่อสู้กันอีก การต่อสู้น่ะวิปัสสนา ถึงที่สุดนะเวทนามันขาด เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วมันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราอีกวะ นี่หลวงตาท่านพูดนะ เวทนาก็แค่ตายนี่ แค่ตายนี่ แล้วเราก็ผ่านมันมาแล้วนี่ นี่โสดาบัน
แล้วเดินไปเดินมามันจะเป็นพระโสดาบันได้ไหม เดินไปเดินมานี่ แล้วมันบอกมันจะเป็นโสดาบัน แล้วจะปฏิบัติได้ง่ายกว่า ได้ง่ายกว่ามันก็เหมือนกับมหาวิทยาลัยไง แจกประกาศไง ปฏิบัติมาอบรมมาเดี๋ยวจบเราจะแจกประกาศนะ เป็นพระอรหันต์หมดเลย มันเป็นมันก็เป็นอย่างนี้ไง เป็นเพราะแจกใบประกาศไง มันไม่เป็นที่หัวใจเว้ย นี่คือความเข้าใจผิดที่เราโต้แย้งอยู่ พูดถึงอยู่ก็ตรงนี้ด้วย ตรงที่ว่าเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคา ทำไมต้องให้คนรับประกันวะ
แต่ของครูบาอาจารย์เราไม่ต้อง หลวงปู่มั่นอยู่ในป่า ใครรับประกันว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ใครรับประกันหลวงปู่เสาร์เป็นพระอรหันต์ ใครรับประกัน ทำไมพวกเราเชื่อกันล่ะ เราเชื่อเพราะว่าท่านแสดงธรรมนี่ การแสดงธรรมนี่นะ เวลาปฏิบัตินี่ ใครมีภูมิรู้แค่ไหน แล้วถ้าเป็นอาจารย์เราโง่กว่าเรานะ กูมีภูมิรู้แค่นี้ อาจารย์ยังพูดไม่ถึงกับความรู้สึกของกูนะ มันจะเป็นอาจารย์กูได้อย่างไร แล้วอย่างหลวงตานี่ คิดดูสิท่านเป็นมหาด้วย ท่านปฏิบัติด้วยภูมิรู้ท่านแค่ไหน แล้วหลวงปู่มั่นละ ถ้าหลวงปู่มั่นไม่มีภูมิรู้ที่เหนือกว่า เอาไม่อยู่ นี่แล้วใครไปค้ำประกันว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์
แล้วนี่บอกเดินไปเดินมา มันเป็นโวหาร มันเป็นคำพูดสิ่งที่เขาค้ำประกัน อย่าพูดนะ แม้แต่หัวหน้าคือคนที่เขาสอน เราก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว นี้คนไม่เชื่อไปประกาศไปรับรองคนอื่นน่ะ เราไม่เคยฟังเลยนะ อย่างเช่นเวลาพระมาหาเรานี่ มาปฏิบัติมานี่ เวลาถามวิธีปฏิบัติกัน แล้วบอกวิธีปฏิบัติ เอ็งปฏิบัติจากใคร ถ้าบอกอาจารย์ปั๊บนะ เขาอยู่อาจารย์ไหนนะ เราให้ค่าไว้หมดแล้วล่ะ เพราะคนไม่รู้มันสอนไม่เป็น ถ้าคนไม่รู้สอนไม่เป็นปั๊บ ทีนี้เพียงแต่เราก็มาถามเอา ทีนี้พอเหตุถึงถามว่าอยู่ที่ไหนก่อน คือเราจะพยายามจะถามว่าไอ้นี่มันจบมาจากสำนักไหน สมมุติเราจบมาจากมหาวิทยาลัยไหนนี่ ทางวิชาการมหาวิทยาลัยไหน มันจะเน้นหนักไปทางวิชาการใดวิชาการหนึ่ง
ครูบาอาจารย์เรานะ แต่ละองค์จะรู้เลยว่า องค์ไหนจะสอนเน้นหนักไปทางไหน แล้วองค์ไหนที่ท่านแทงทะลุเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ ท่านสามารถจะบอกทางให้ลูกศิษย์ไปถึงพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าองค์ไหนไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ หรือว่าเขาเข้าใจว่าใช่ แต่พวกเราไม่เห็นด้วยนี่ คำสอนของเขาก็ฤาษีชีไพร เขาก็จะสอนให้ลูกศิษย์ของเขานี่ งี่เง่าดักดานอยู่กับความเห็นในหัวใจนั้น ฉะนั้นพอบอกว่ามาจากอาจารย์ไหนนี่ เราให้ค่าไว้ในใจแล้ว
ไอ้นี่คืออาจารย์นะ แต่อาจารย์กับลูกศิษย์ ลูกศิษย์อาจมีวุฒิภาวะ ลูกศิษย์อาจมีวาสนา ลูกศิษย์อาจภาวนาแล้วทะลุไปก็ได้ ฉะนั้นพอถามเรื่องอาจารย์ก่อน เป็นบรรทัดฐานเหมือนกับที่ทางวิชาการนี่ เอ็งจบมาจากมหาวิทยาลัยไหนวะ เอ็งจบมาจากที่ไหน เราก็เข้าใจได้แล้วว่า ทางมหาวิทยาลัยนั้น เขาสอนแนวทางอย่างใด สุดท้ายแล้วนี่ มหาวิทยาลัยนั้นเขาสอนอย่างนั้น เด็กอาจจะไบร์ท เด็กอาจจะมีไอคิวที่สูงส่ง ที่มันสามารถ ที่มันจะทะลุไปได้ ก็คุยกันอีกรอบหนึ่ง ถ้าคุยกันอีกรอบหนึ่ง ทีนี้เราก็วัดภูมิรู้กันตรงนี้ นี่คือปัจจัตตัง นี่เป็นความจริงของเขา
อันนี้ที่ว่าเดินไปเดินมาแล้ว ไอ้อย่างที่พูดนี่ ไอ้อย่างที่วันนั้นเอามาเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าก็สอนแล้ว เราจะเอาอะไรต่างกับพระพุทธเจ้าอีกเห็นไหม เวลาเราบอกว่า อย่างที่เราพูดนี่ต้องมีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล อนาคาผล แล้วทำไมต้องเอาความต่างกับพระพุทธเจ้าอีกล่ะ ทำไมต้องเอาความต่างกับมรรคกับผลอีกล่ะ
ไม่ใช่เอาความต่าง เอาความจริงในมรรคผลนั้น ไม่ใช่เอาความต่าง เอาความจริงในมรรคผลนั้น แต่บอกพระพุทธเจ้าก็สอนแล้ว ใช่ พระพุทธเจ้าสอนแล้วในพระไตรปิฎกไง พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าสอนแล้ว แล้วพระไตรปิฎกเป็นอะไร ก็เป็นกระดาษไง พระไตรปิฎกมันมีชีวิตไหม แล้วทำตามพระพุทธเจ้าสอน แล้วพระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนวะ พระพุทธเจ้ามึงกับพระพุทธเจ้ากูคนละองค์แน่ๆ เลย เพราะพระพุทธเจ้ากูไม่ได้สอนอย่างนั้น
พระพุทธเจ้ากูสอนให้มั่นคงแข็งแรง ให้ความเพียรชอบ ในมรรค ๘ มีความเพียรชอบ แล้วความเพียรชอบไหม ถ้าบอกเดินไปเดินมาแล้วเป็นพระอรหันต์ หมากูกูปล่อยวิ่งทั้งวันเลย แล้วหมากูดูสิ หมาพรานนะ มันไปคาบสัตว์มาให้เราอีกต่างหาก มันวิ่งไปมันยังไปเอาพวกสัตว์ ไก่ป่า พวกเต่า พวกอะไรมาให้เราเลย พูดเป็นยี่เกไปได้ เขาพูดอย่างนี้เขาไม่ได้คิดถึงโลกกับธรรมเลย ทางโลกนี่ ทางวิชาการ หรือทางวิชาชีพนี่ กว่าเราจะแสวงหากันมาได้นี่ มันก็ไม่ใช่ของง่ายๆ แล้วธรรมะนี่มันเหนือกว่านั้น
เจ้าชายสิทธัตถะ จะเรียนมาเพื่อเป็นกษัตริย์ ทางวิชาการในสมัยนั้น เจ้าชายสิทธัตถะเรียนหมดแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะยังมีนางพิมพา มันก็ยังเรื่องของโลก แล้วมีความรู้ขนาดนั้น เจ้าชายสิทธัตถะไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ยังงงเลย ฉะนั้นมันต้องมีเหตุตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พอไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย มันอยู่ที่ไหนถึงมาค้นคว้าอีก ๖ ปี
เดินไปเดินมาหรือ เดินไปเดินมา.. มันต้องเจอกันอย่างนี้ มันต้องตัวต่อตัว คำว่าตัวต่อตัวนี่นะ มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถ้าเรามาพูดกันอย่างนี้ มันแบบว่าเหมือนกับว่าเอกสารนี่ เราจะไปค้นคว้าไปดัดแปลงมาได้ คนเรานี่ อย่างธรรมะนี่ จะเป็นไม่เป็น พูดกันตรงหน้านี่ ไม่เป็นพูดไม่ได้ มึงไปจำมา มึงไปจำมาหมดเลย เอาคอมพิวเตอร์มาตั้งไว้ด้วย ให้มึงปริ้นท์ออกมาเลย เดี๋ยวกูซัดหงายท้องเลย คือมันไม่รู้หรอก ไม่เป็นคือไม่เป็น
ถ้าเป็นนะอยู่ที่ไหนก็พูดได้ ถ้าไม่เป็นคือไม่เป็น พูดอย่างไรก็ผิด คำว่าเดินไปเดินมาในชีวิตประจำวันจะดีกว่า อะไรจะดีกว่า มันเป็นการสร้างภาพ อย่างอภิธรรมนี่ เราเห็นอภิธรรมนี่ เวลา เราไม่ใช่พูดเพื่อด้วยความเหยียดหยามนะ เราพูดด้วยความเมตตาสงสารนะ นี่เมื่อ ๒ วันนี้ตอนวันอาสาฬหฯ ก็มานั่งมายืนอยู่นี่ มาย่าง มาเหยียด เราก็เฉยๆ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเวลาเขาเหยียดไปใช่ไหม อารมณ์ของเขากระทบนี่ เขาบอกให้รู้สึกตัวนี่ เขาจะรู้สึกตัวของเขาตลอดเวลานะ เพราะรู้สึกตัวนี่ จิตเขาดีอยู่ใช่ไหม เขาจะได้ไม่เกิดนิมิตไง
แต่ถ้าเป็นพุทโธ พุทโธ ของเรานี่ พอจิตมันลงสมาธินี่ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง จิตที่ลึกกว่ามิติปกติ มิติปกตินี่มันเป็นมิติธรรมดาของเรา มิติธรรมดาของเรานี่เรารับรู้ของเรา จิตไม่ลงไปในแนวลึกของความรู้สึก มันก็จะไม่รู้สิ่งใดที่เป็นข้อเท็จจริงของจิต ที่มันจะลึกซึ้งกว่านั้น ฉะนั้นพอเรากำหนด พุทโธๆ จิตมันเป็นสมาธิขึ้นมานี่ มันเป็นอีกมิติหนึ่ง มิติหนึ่งไม่ใช่ความรู้สึกธรรมดาของเราอย่างนี้ มันจะเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่านี้
เหมือนกับภาชนะนี่ ภายนอก ภายใน เราล้างภาชนะภายนอกสะอาดขนาดไหน เห็นไหม นี่ภาชนะภายในเราไม่ได้ล้าง มันก็ไม่สะอาดวันยังค่ำ แต่เราล้างภาชนะภายนอกสะอาดแล้ว แล้วเราได้ล้างภาชนะภายในอีก กิเลสมันอยู่ภายใน ทีนี้มันอยู่ภายในนี่ พอจิตมันจะลงไปตรงนั้นน่ะ ฉะนั้นอภิธรรมนี่มันล้างภาชนะภายนอก ภายนอกดูสะอาดนะ ภายนอกนี่ดูสวยงามมาก กิริยา มารยาท ธรรมะ โอ้ย สงบเสงี่ยมเจียมตน อู้ฮู เราไม่ได้พูดนะ นี่เป็นธรรมะนะ เราพูดด้วยความสงสารจริงๆ
นี่ดูสิแต่งตัวกัน โอ้โฮ ชุดขาวนะ เราบอกเลยนกยางกูนี่สีขาวปลอดเลยน่ะ มันยืนอยู่บนน้ำน่ะ มันยืนเฉยๆ เลย มันรอปลามาพอเผลอ แว้บเลย นี่ไงล้างภาชนะภายนอกสะอาดเลยนะ แหม แต่งชุดขาวนะ โอ้โฮ สวยงามนะ โอ๋ ก็เหมือนนกกระยางนะมันยืนรอท่าเลย ปลามายัง ปลามาหรือยัง นี่ข้างในไม่สะอาดไง นี่เดินไปเดินมาไง มันจริงๆ นี้ มันไม่ใช่ว่ามันทำผิดนะ จริงอยู่มารยาทสังคมมันจำเป็น มันต้องสวยงามมันก็เห็นด้วย
แต่อย่าเพิ่งติดว่าภายนอกสะอาดแล้ว ภายในเอ็งไม่ลึกเข้าไปไง พอจะลึกเข้าไป ก็ติดนิมิต เห็นนิมิต อู้ยเห็นกาย ผิดๆๆๆ ต้องล้างอยู่แต่เปลือกข้างนอกนี่ เข้าไปข้างในไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะอาจารย์ไม่เป็นไง แล้วนี่มาคิดอย่างนี้ปั๊บ เราจะบอกว่าดูจิตกับอภิธรรมนี่มันอันเดียวกัน สังคมไฮโซมันเลยเข้าไปกองอยู่นั่นไง เพราะว่าเขาเรียกว่า เราสงสัยสิ่งใด เราคิดสิ่งใด ถ้ามีสิ่งนั้นมาตอบคำถามเราได้ เราก็พอใจ ตรรกะความคิดของกิเลส มันคิดได้อย่างนี้ แล้วมันไปตรึกในธรรมของพระพุทธเจ้า มันตอบความคิดนี้ได้ไง
โอ้ ว่าง.. สบายๆ สบายสิ ก็ไปตรึกในธรรม เพราะทีแรกมันฟุ้งซ่านใช่ไหม มันคิดมากมันเดือดร้อนในหัวใจมาก พอไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวาง พระพุทธเจ้า เหมือนเราศึกษาทางทฤษฎีนี่ พอเรามีอะไรความสงสัยอยู่ ทฤษฎีมันตอบความเห็นเรานี่ เราก็โอ้ย ใช่ๆ ใช่เลยๆ ใช่เลยแล้วมึงเห็นตัวมึงหรือยัง ใช่เลย นี่ ล้างทำความสะอาดเปลือกภายนอกไง
ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดดับ ซีดีแผ่นใหม่ ความคิดเกิดดับ เอาได้เลย อธิบายไว้หมดแล้ว ความคิดเกิดดับไม่ใช่จิตเกิดดับ ความคิดเกิดดับ ความคิดไม่ใช่จิต ถ้าความคิดเป็นจิตนะ พวกเรานี่ตายเกลี้ยงเลย เพราะอะไร พอนั่งเผลอๆ ไม่ได้คิด ถ้าไม่ได้คิดจิตต้องไม่มี แล้วทีนี้ทำไมจิตมีอยู่กับเราล่ะ ถ้าความคิดเป็นจิตนะพวกเราไม่มีชีวิตหรอก ตายห่าหมดแล้ว เพราะความคิดเดี๋ยวมันก็หายไป เดี๋ยวมันก็มีอยู่ถ้าความคิดเป็นจิต คือจิตมันหายไปไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ที่เขาพูด ประสาเรานะ มันไม่มีใครโต้แย้งแบบเราไง วันนี้เปิดเต็มที่นะ ธรรมดาไม่พูด ไม่พูดเพราะอะไรรู้ไหม ไม่พูดเพราะคำพูดเรานี่ เขาเอาไปคิดแล้วเขาไปเปลี่ยนแปลงความเห็นเขา เพราะต่อหน้าใหม่ๆที่เขาออกมาหยาบกว่านี้เยอะมาก ใหม่ๆ ครั้งแรกบอกสติไม่ต้องฝึก อะไรไม่ต้องฝึก แล้วพอดีหนังสือมาถึงเราไง เราสวนกลับเลย สติไม่ต้องฝึกทำไมมีสติ มีมหาสติ มีสติอัตโนมัติ แล้วถ้ามันไม่ฝึกน่ะ สติมันต่างกันอย่างไรวะ เปลี่ยนกลับมาเลย ไม่ใช่ไม่ต้องฝึก มันต้องให้เป็นเอง นี่เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเรานี่พูดนี่ เดี๋ยวแจกซีดีไป เขาต้องได้ยินหมดน่ะ ซีดีแจกหมดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันไม่มีลับลมคมในไง แล้วประสาเราด้วย จำไว้เถอะจำจนตาย ถ้ามาต่อหน้าพลิกได้หมดน่ะ
ประเด็น : ภาวนาพุทโธจนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตไป เป็นธรรมแรกสุดที่หลวงปู่ดูลย์ให้หลวงพ่อ.........
หลวงพ่อ : ภาวนาพุทโธจนจิตวูบลงไป ถ้าพูดถึงภาวนาพุทโธจนจิตวูบลงไป ถ้าเป็นจริงนะ ถ้าเป็นจริงนี่เขาจะบอกว่าดูจิตเฉยๆ แล้วห้ามอย่างอื่นไม่ได้ หลวงพ่อ.........เวลาท่านพูดทีแรกนะ ท่านบอก มาทีแรกใหม่ๆ ท่านปฏิบัติใหม่มา ท่านให้ดูจิตอย่างเดียว ห้ามทำอย่างอื่น ถ้าใครทำอย่างอื่นให้ไปที่อื่น ทีแรกเลยดูจิตอย่างเดียว แล้วถ้าดูจิตอย่างเดียวนี่ แล้วหลวงปู่ดูลย์สอนพุทโธตรงไหน
ประสาเรานี่ เราเกิดมาจากพุทโธนี่ เรากล้าปฏิเสธพุทโธไหม แต่นี่ปฏิเสธไปแล้ว แล้วมากลับ พอจนด้วยหลักฐาน กลับมายอมรับพุทโธ ยิ่งออกมาอย่างนี้ นี่เป็นลูกศิษย์เขียนหรือเขาเขียนไม่รู้นะ แต่ถ้าเป็นที่เขาเขียน เหมือนเรานี่เราไปขโมยของเขามานึกว่าไม่รู้มาซ่อนไว้ พอคนมาจับได้ว่าหลักฐานว่าไปขโมยมา เออมันก็ดิ้นออกว่างั้นเถอะ
โยม : เขาเขียนไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับ เมื่อปี นานแล้วครับ หลังจากนั้น เขาไม่ได้พูดถึงอีกเลย
หลวงพ่อ : นั่น ทำไมหลวงตานี่เวลาท่านกราบพระนี่ ท่านกราบถึงพระพุทธเจ้า ท่านกราบถึงหัวใจมาก หลวงตา หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะหนังสือนี่ท่านเคารพบูชามาก ตัวอักษรนี่มันสื่อธรรมะพระพุทธเจ้าได้ คนเรานะถ้าเกิดจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ พุทธ ธรรม สงฆ์ มันอยู่กลางหัวใจของเรา เราจะเคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาก แล้วเราจะไม่เนรคุณ ไม่อกตัญญู เราจะอกตัญญูกับสิ่งที่เราเกิดมานี่ เราเป็นคนชั่ว สิ่งที่เราเกิดมาเราเกิดมากับสิ่งใด ฉะนั้นเวลาพูดนี่ เวลาว่าสอนมาแล้วไม่พูดถึงเลย ไม่นับถือเลย แล้วถึงเวลาก็ย้อนไปย้อนมานี่ ตรงนี้มันชี้ให้เห็นชัด
ไอ้นี่เราดูคนเราไม่ดูตรงนั้นหรอก เราดูพฤติกรรมนี่ ดูนิสัยเขา ถ้าเขาเป็นคนดีนะตกไปในไฟก็เป็นคนดี ตกไปน้ำ ตกไปในทะเล ตกไปในความทุกข์ขนาดไหนเขาก็เป็นคนดี คนดีอย่างนี้หายากมาก แต่บางทีเป็นคนดี ดีเฉพาะว่า เวลาสุขก็เป็นคนดี เวลาทุกข์ยากก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ขอกูพักความดีไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยดีใหม่ เห็นไหมอย่างนี้ความดีระดับกลาง ความดีระดับหยาบเห็นไหม ความดีมันมีตั้งเยอะแยะ จิตใจคนมันไม่เหมือนกันหรอก แต่จิตใจของคนมันต้องมีความดีเป็นพื้นฐาน ถ้าคนๆ นั้นเป็นพระอริยเจ้า อย่างน้อยจะไม่เนรคุณ อย่างน้อยจะไม่อกตัญญู
หลวงปู่มั่น โอ้โฮ เคารพบูชามาก หลวงตาท่านสอนบ่อย หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเลยล่ะ เจี๊ยะถือหนังสืออย่างไร หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ว่าท่านแจ๋วของท่านแล้วนะ ท่านบอกถือหนังสืออย่างนี้ๆ ได้ที่ไหนๆ จับมาเลย หนังสือต้องแบกไว้อย่างนี้เลยนะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกท่านถือหนังสือไว้ที่มือไง ไว้ที่ตัวนี่ หลวงปู่มั่นบอกมันต่ำเกินไป นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าเองเลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะตรวจสอบหัวใจลูกศิษย์ ท่านจะถามอย่างนี้ อย่างนี้ทำอย่างไรๆ
เราก็พูดจากความรู้สึกเราใช่ไหม นั่นแหละเห็นค่าของใจเลย ว่าใจนี้คิดเรื่องอะไร ใจนี้มีคุณธรรมแค่ไหน ถามว่า เจี๊ยะอย่างนี้ทำอย่างไร หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟัง กระผมทำอย่างนี้ครับ เหมือนนักเรียน เด็กๆ อนุบาลน่ะ หลวงปู่มั่นอัดเอาเลยนะ นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่านะ แล้วหลวงปู่มั่น หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตานี่เล่าเหมือนกัน เพราะเรานี่มันเป็นเด็กขี้ถาม เรานี่ไม่ได้ เรานี่ซักน่าดู ไปอยู่กับใครซักหมด เพราะเราเกิดไม่ทัน
หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ บอกว่าหลวงปู่มั่นเห็นรูปพระไม่ได้เลย ตัวอักษรไม่ใช่ภาษาไทยนะ ตัวอักษรทุกภาษา หลวงปู่มั่นบอกว่า ตัวอักษรทุกภาษาสื่อธรรมะพุทธเจ้าได้ เท่ากับตัวอักษรนี้คือตัวแทนธรรมะ หลวงตาเล่าให้ฟัง มาจากเชียงใหม่ มาถึงมาพักที่จักราช มาพักที่โคราชนี่ เขาจัดที่ให้พัก ให้ไปดูกุฏิ พอเข้าไปเห็นกองหนังสือ ท่านไม่ยอมอยู่เลย กองหนังสือนักเรียนไง วัดเรียนไง เขาก็มีหนังสือตำราใช่ไหม แล้วกองอยู่กับพื้น เขาจัดให้กุฏิให้พัก ให้หลวงปู่มั่นไปพัก เขาเป็นวัดเรียน หลวงปู่มั่นเข้าไปเห็นในห้องนั้น ท่านปฏิเสธ ท่านไม่ยอมพักเลย ท่านบอกหนังสือมันอยู่ต่ำกว่าเรา นี่หลวงปู่มั่น
นี่เวลาพูดอย่างนี้แล้ว พวกเนี้ยเมื่อก่อนสอนพุทโธ แล้วไม่เคยพูดถึงเลย แล้วยังมา ความจริงนะว่าพระสงบรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ดูลย์เป็นพระอรหันต์นี่ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ด้วยกัน เราจะสาธุว่ามีคนมาเชื่ออาจารย์เรา เราจะภูมิใจนะ อันนี้มาถามกูว่ามึงมาเชื่ออาจารย์กูทำไม กูยังงงอยู่นี่ เอ้า ก็กูรักอาจารย์มึงไม่ดีหรือวะ ก็กูเคารพอาจารย์มึง กูผิดด้วยหรอ
ความจริงถ้าใครมาเคารพครูบาอาจารย์หลวงตาเรานี่ เราจะภูมิใจมากเลย เออ ไอ้นี่มันรักหลวงตาเราเว้ย โอ้ ไอ้นี่มันเห็น เราจะดีใจมากนะ ไอ้นี่กลับมาถามกูว่าเคารพอาจารย์เขาทำไม เออ..เอ้อ กูก็แปลกอยู่ นี่ไงธรรมะพื้นๆ อย่างนี้ แค่นี้มันก็จับได้แล้ว คนเราดูกัน ดูกันอย่างนี้ อย่าไปดูธรรมะว่านิพพานๆ ไม่ต้องไปดูนิพพานหรอก ไปดูที่มันทำนี่ ดูที่มันพูดนี่ กะล่อน ตอแหลนี่ ไม่ใช่ พระอริยเจ้าที่ไหนมันกะล่อนวะ ไม่มีหรอก
โธ่.. เราพูดกับพระนะ เราพูดกับพระนี่ ฟังหลวงตาบางที..โทษนะ เราบอกฟังหลวงตาบางทีเบื่อเลย บางคนน่ะ ถ้าพูดเรื่องหมู ๒ ตัวนะต้องพูดจนจบเลย จะพูดอะไรก็พูดจนจบเลย ความจริงมีหนึ่งเดียวไง ถ้าพูดเรื่องอะไรขึ้นมานะ ท่านจะพูดตั้งแต่ต้นจนจบเลย แล้วก็จะซ้ำอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะมีอันเดียว หลวงตานี่จะพูดเรื่องอะไรพูดแล้วพูดอีก อันเดียวไง ไม่กะล่อนเป็นพระที่ไม่กะล่อน พูดกี่หนๆ ก็ความจริงอันนี้
แต่ถ้าเราฟังบ่อยๆ ลูกศิษย์ฟังบ่อยๆ นะ พอหลวงตาขึ้นคำแรกนะ รู้เลยจะไปจบที่ไหน ความจริงที่หนึ่งเดียวไง ถ้าหมู ๒ ตัวก็จบที่หมู ๒ ตัวนั่นแหละ ถ้าเรื่องอะไรก็จบเรื่องไอ้นั่นน่ะ แล้วจะไม่คลาดเคลื่อน มีแต่ยาวกับสั้นเท่านั้นเอง นี่ไม่กะล่อน พระไม่กะล่อน คือพูดกลับกลอก พูดอย่างนี้อย่างหนึ่ง พรุ่งนี้อีกอย่างหนึ่ง นี่คุณสมบัติของครูบาอาจารย์ เราฟังตลอดแล้วเราจับตลอด ถ้าหลวงตาขึ้นคำแรกนะ รู้เลยต้องจบเรื่อง แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ แล้วตั้งแต่บวชมาจนป่านนี้ เกือบ ๘๐ พรรษาก็ยังพูดอยู่อย่างนี้ พระไม่กะล่อนเว้ย พระของจริงโว้ย อยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่พลิกไปพลิกมา พลิกมาพลิกไปอย่างนี้
อ่าน : จะมีอะไรสำคัญๆ ไหม ไอ้อย่าแทรกแซง อย่าดูจิตนี้ ไอ้เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปแทรกแซง ตามดูจิต ตามดูจิตไป แล้ววันหนึ่งเราจะเห็นเองว่า กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย นี่เป็นโสดาบันแล้วนี่
หลวงพ่อ : เราไม่อยากเอ่ยชื่อเลยนะ มันมีพระองค์หนึ่งเขาพูดอย่างนี้ แล้วลูกศิษย์เขามาคุยกับเรา เราบอกเป็นไปไม่ได้ เขาบอกให้ตรึกในธรรม ทำอย่างนี้ เขาเรียกว่า ขบธรรมะแตก อย่างเช่นเรานี่มันจะตั้งประเด็นขึ้นมาในความคิดเรา เราจะสงสัยเรื่องอะไรตั้งประเด็นไว้ แล้วเราใช้ปัญญาไล่ไป พอปัญญามันไปขบประเด็นนั้นแตก โสดาบัน แล้วเขาขบไปเรื่อยๆ จนเขาแตกหลายที เขาเป็นพระอรหันต์ เขาก็ไปสร้างวัด
พอจิตเขาเสื่อมเขามาหาเรา พอเสื่อมเขามาหาเรา เขาบอกว่าตอนที่เขาออกจากวัดไปนี่ เขามั่นใจมากว่า เขานี่เป็นพระอรหันต์ เพราะว่าที่วัดเขานี่ขบกันอย่างนี้แตกที่ศาลา พระนี่ขบอย่างนี้แตกหมดเลย แล้วพอถึงที่สุดแล้ว พอเสื่อมแล้วมาหาเรา เขาเสื่อมแล้วเขาทุกข์ มาหาเรา แล้วทำไง เราบอกมันต้องทำความสงบ แล้วกลับไปถึงความสงบแล้ว พอสงบแล้วค่อยวิปัสสนา เอางั้นเลยหรอ เขาบอกทำยากเพราะเขาเคยทำมาแล้ว
นี่ไง นี่เราจะย้อนกลับมาที่เขาบอกว่า นี่พิจารณากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย นี่แหละโสดาบัน ใช่พระโสดาบัน กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย แต่ แต่ไม่ใช่ที่ปาก มันที่จิต ที่จิตใต้สำนึก ไม่ใช่จิตนะ จิตใต้สำนึก กิเลสอยู่ที่จิตใต้สำนึก กิเลสไม่ได้อยู่ที่จิตโดยพื้นฐาน ถ้ากิเลสมันอยู่ที่ผิวๆ ของจิตนี่ เราสามารถรื้อค้นหากันได้ อนุสัย กิเลสมันเป็นอนุสัยนอนเนื่องมากับจิต เหมือนกับผ้านี่เห็นไหม ผ้าขาวมันต้องฟอกขาว ผ้าเราผ้าสี สีนี้เดิมนี้เป็นผ้าขาวแต่เพราะย้อมสี เพราะย้อมสี สีนี้มันก็อยู่ในผ้าขาว นี่กิเลสอวิชชามันอยู่เป็นเนื้อเดียวหรือนอนเนื่องอยู่ใต้จิต
ฉะนั้นการวิปัสสนา การที่จิตต้องสงบ จิตสงบเข้าไปก็เป็นตัวจิต จิตสงบเฉยๆ จิตน่ะใส เวลาจิตมันสงบมันใส จิตมันจะใสผ่องแผ้ว เห็นไหม จิตเดิมแท้ผ่องแผ้ว แล้วจิตเดิมแท้นี้ออกวิปัสสนา นี่วิปัสสนานี่พอวิปัสสนาโดยการเคลื่อนไหว มันจะไปชะล้างกันที่จิตใต้สำนึก มันไม่ใช่ว่าจิตไม่ใช่เรา อย่างนี้โซดาตราสิงห์ แล้วโซดาเขาเยอะมาก บุญรอดเจ๊งแน่ๆ เลย บุญรอดจะเจ๊งแล้ว เพราะมีบริษัทใหม่ตั้งโซดามาขายแทน อย่างนี้มันต้องให้มาหาเรา แล้วกูจะบอกว่าโซดามึงน่ะไม่มีแก๊ส โซดามึงยังโซดาที่คอเหล้าไม่เอา ถุย.. ไม่เคยเชื่อเลย ไม่เคยอยู่ในความเห็นเราเลย ไอ้เรื่องอย่างนี้ ไร้สาระ มันแค่การพูดนี่ แค่การพูดความรู้สึกที่เคลื่อนออกไปมาจากใจนี่ มันรู้ได้เลยว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม
ถ้าเราเคยเห็น เคยรู้จิตใต้สำนึก ที่มันถอดถอนสักกายทิฏฐิ กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย คือทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิมานะของจิต ไม่ใช่เห็นว่ากายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กายอย่างนี้หรอก มันเกิดจากทิฏฐิมานะ จิตใต้สำนึก เพราะทิฏฐิมานะมันอยู่ในจิตใต้สำนึกที่เราไม่รู้ทันมัน มันถึงหมุนไปให้เราเกิดตายกันอยู่นี้ แต่เพราะเราเข้าไปรู้ถึง ทันมันแล้วถอดถอนมัน ถ้าถอดตรงนี้ได้ จะเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น พระโสดาบันจะเกิดอีก ๗ ชาติเท่านั้น
แต่ถ้าถอดถอนตรงนี้ไม่ได้ มันยังเป็นอากาศที่มันจะหมุนไป ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้เหมือนอากาศ อากาศ ดูอย่างลมสิ อากาศที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวจิตนี่มันก็เหมือนอากาศ เหมือนอากาศแต่มันเป็นธาตุรู้ เป็นสันตติที่มี มันมีแรงขับ คือตัวอวิชชาอยู่ มันถึงหมุนของมันไป ที่หลวงปู่ดูลย์พูดไง ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม นี่ไง เคลื่อนแล้ว ความรู้สึกเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เพราะมีความรู้สึก มีรูปและมีนาม มันก็หมุนไป
โธ่.. หลวงปู่ดูลยเทศน์นะ กูฟังนะ แหม มันทิ่มหัวใจกูเลย อภิธรรมไม่เคยพูดอย่างนี้ แล้วพูดไม่เป็นด้วย พูดก็พูดไม่ถูก จำมาพูดก็พูดไม่เป็น พูดไม่ได้หรอก นี่มันเป็นโซดา เดินไปเดินมาแล้ว ไอ้นี่นะอย่างแทรกแซงจิต อย่าดูจิต เขามาพูดให้ฟังเยอะมาก บางคนไปหาเขา จิตนี้เกร็ง อย่าไปกดมัน อย่าไปแทรกแซงมัน ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เพราะจับทฤษฎีจับอันนี้ไว้นะ เพราะมันเป็นธรรมชาติ แล้วก็ย้อนไปธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมดา ธรรมดาก็คือธรรมะ
แล้วก็อย่าแทรกแซงดูจิต อย่าไปแทรกแซงมัน อย่าไปกดถ่วงมัน ให้มันเป็นธรรมชาติของมัน นี่มันฟ้องไง ฟ้องตั้งแต่เหตุใช่ไหม แล้วไปฟ้องมันที่ผล ผลของพระโสดาบันใช่ไหม ธรรมะ ธรรมะคือธรรมดา ธรรมะคือธรรมชาติ เราถึงได้สวนกลับไปไง พระพุทธเจ้าบอกมีปัญญาวิมุตติ กับเจโตวิมุตติ ธรรมดาวิมุตติกูไม่เคยเห็นนะ
อันนี้มันจะเป็นธรรมดาวิมุตติไง ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติก็เป็นธรรมะ อย่าแทรกแซงจิต อย่าดูจิต เห็นไหม มันตรงกันไหม มันตรงกัน มันตรงกันที่ว่ามันทำใจให้เป็นธรรมดาก็พอ พอธรรมดาปั๊บ นี่คือเหตุใช่ไหม แล้วมันก็ไปสร้างผลไง ธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ความโกรธของคนก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความโกรธนี่เพราะเราควบคุมมันไม่ได้ ความโกรธ ความโลภ ความหลง นี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ ก็มึงกราบโลภ กราบโกรธ กราบหลง มึงก็เป็นพระอรหันต์ไง
เราจับได้หมด เขาพูดอย่างนี้ปั๊บ เพราะเอ็งคิดดูสิ เขาตั้งผลไว้อย่างนี้ใช่ไหม แล้วเขาบัญญัติเหตุไว้อย่างนี้ พอมีเหตุอย่างนี้ปั๊บ เขาไปสร้างผลไว้รองรับก็เป็นโสดาบัน แล้วสุดท้ายในอริยสัจ เขาเอามาให้กูอ่าน ไอ้ขณะจิตเป็นอัตโนมัติ โอ้ จิตเป็นอัตโนมัติด้วยเนอะ ถ้าเป็นอัตโนมัตินะเครื่องใช้ไฟฟ้ากูเป็นพระอรหันต์หมดเลย เพราะรีโมทกูกดได้หมด อัตโนมัติทั้งนั้น มันขึ้นต้นผิดนะ มันผิดไปหมด เพียงแต่ว่าโทษนะ พวกเอ็งมันหัวขี้เลื่อยฟังไม่ออก กูฟังนะ กูจะอ้วกทุกจุดเลยจริงๆ จะอ้วกทุกจุดเลย แต่หลวงปู่ดูลย์ไม่อ้วก
หลวงปู่ดูลย์ถูกต้อง กูถึงเชื่อหลวงปู่ดูลย์ไง โธ่ หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ไปอ่านสิ เราถึงวิตกขึ้นมา วิตกว่าหลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ อนาคตมันจะโดนเปลี่ยนแปลง อนาคตมันจะโดนแก้ไข เพราะผู้ที่ไปจรรโลง ผู้ที่ไปทำหนังสือนี่ วุฒิภาวะไม่ถึง พอไม่ถึงก็เอาความเห็นเราเข้าไปเป็นตัวตั้ง แล้วจะเปลี่ยนแปลงหนังสือนั้นมาเข้ากับความรู้สึกของตัว เราถึงบอกว่า หนังสือหลวงปู่ดูลย์ฝากไว้เล่มแรกๆ เก็บไว้นะ แล้วพอต่อไปพอมันพิมพ์ใหม่ แล้วเอาเล่มแรกนี่ไปยันกับมัน เล่มแรกๆ เก็บไว้ ต่อไปมันจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ เคลื่อนไปเพราะไอ้คนที่มันมาทำหนังสือนี้ จิตใจเขาเข้าไม่ถึง เขามีความรู้ความเห็นอย่างไร เขาก็พยายามจะทำหนังสือนี้ ให้ไปเข้ากับความรู้ความเห็นของเขา เราวิตกขนาดนั้นนะ
จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของเรา เอ็งดูสิ กูบิณฑบาตนะเหลือกินเลย ข้าวกูก็มีกิน ที่นอนกูก็มีนอนพร้อม แล้วกูไปเดือดร้อนกับใครวะ กูพูดเพื่อเหตุใด กูพูดทำไม กูเดือดร้อนอะไรกูถึงไปพูด เว้นไว้แต่ว่ากูอยากดังเท่านั้นแหละ ไอ้กลองจัญไรนี่อยากดัง ต้องตีคนดังไง ต้องเหนี่ยวคนดังไว้แล้วมันจะดังตาม ไอ้ดังอย่างนี้กูไม่อยากดังหรอก เพราะดังแบบนี้มันดังแบบพลุ บรึ้มๆ แตกหมดเลย ไม่ประโยชน์อะไร
อย่างที่พูดตั้งแต่ทีแรก โมฆบุรุษไม่มีอะไรในหัวใจ ไม่อยากอะไรทั้งสิ้น แต่เห็นแล้วมันสงสาร ไม่สงสารธรรมดานะ ตอนนี้เราคิดเลยแหละ ไอ้พวกเด็กๆ รุ่นใหม่น่ะ ที่เล่นอินเตอร์เน็ตนี่ พวกนี้ตอนนี้มันเป็นแบบ เรดการ์ดน่ะ เยาวชนแดงของไอ้แก๊งค์ ๔ คน สมัยแก๊งค์ ๔ คนน่ะมันปลุกปั่นไอ้พวกเรดการ์ดน่ะ เข้าไปอยู่ในป่าไปทำลายวัฒนธรรม สุดท้ายแล้วพอรัฐบาลมันเปลี่ยนแปลง ไอ้พวกเรดการ์ดเข้าไปป่าแล้วนะก็ต้องอยู่ที่นั่นไปจนเป็น.. เพราะว่ามันอุดมคติใช่ไหม ว่าเรามันชนชั้นเสมอกันน่ะ
จากคนในเมืองนี่ไปอยู่ตามชนบท จนแก่จนเฒ่าเพราะเราดู เรื่องอย่างนี้เราชอบดู พวกเรดการ์ดนี่ มันโดนแก๊งค์ ๔ คนปั่นหัว ปั่นหัวเสร็จแล้วนะไปอยู่ตามชนบท ชีวิตทั้งชีวิตเลย ชีวิตเขาหมดไปโดยที่ด้วยอุดมคติของเขา ฉะนั้นไอ้เด็กวัยรุ่น รุ่นใหม่ที่เข้ามาดูจิตๆ กันนี่ มันเหมือนเรดการ์ด ได้รับการปลุกปั่น ได้ล้างสมอง พอได้รับการปลุกปั่น ได้ล้างสมองเขามาแล้วนี่ ตอนนี้ก็กลายเป็นเรดการ์ด เป็นการองค์กรที่ป้องกันอาจารย์ของเขา เราดูสังคมเป็นอย่างนั้นเลยนะ
ประสาเราว่าเราเห็นความสำคัญของมนุษย์ เราสงสารผู้หลงผิดไป เราถึงพูดไง เราเข้าใจนะ เข้าใจที่หลวงตาท่านบอกว่า ใจเขาใจเรา มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา สังคมพระป่าเรา สังคมครูบาอาจารย์เรานี่ เราก็ถนอมรักษาทำให้มันดีเถิด ไอ้นี่มันสังคมของเขา แล้วเราก้าวล่วงเข้าไปในสังคมของเขาทำไม เราไม่เคยออกไปไหน เราอยู่ที่วัดนี่ทั้งนั้น มีแต่คนมาถามดุลยพินิจของเรา ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เราเห็นเป็นอย่างใด เพราะเราเห็นว่ามัน เราเห็นในมุมมองของเรา เราเห็นของเราอย่างนี้ แล้วด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักด้วยฐาน
แต่ทีนี้คนที่คุยกับเรานี่ วุฒิภาวะของเขาไม่เท่ากัน เราพูดด้วยวุฒิภาวะ จริงๆ นะที่เห็น เราเห็นเยอะแยะไปหมดน่ะ เหมือนคนเป็นน่ะ จะจับตรงไหนก็ผิดไปหมด เพียงแต่ว่าถ้าเป็นคนอื่นนะ จับที่ไหนก็ผิดไปหมด มันก็อยากชี้ถูกชี้ผิด มันก็อยากจะอวดตัวขึ้นมาใช่ไหม เรานี่ไม่เคยพูดเลย ถามไอ้นี่สิไม่เคยพูดข้างนอก ทีพูดนี่เพราะเขามาถาม เขามาถามเรา ลูกศิษย์เขามาถามเราไม่พูดเลย นี่เขาทำ ทำไมไม่ตอบล่ะ
เราบอกตอบไปก็ไม่เป็นประโยชน์ ตอบไปเขาก็ไปลงหนังสือเขา หนังสือเขาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจากคำพูดของเรา แต่เขาก็มองเราเป็นไอ้เสือเลย เป็นสัตว์ตัวหนึ่งเหมือนกัน เขาก็มองเราว่าเรานี่หมาตัวหนึ่งนะ คืออยากดัง อยากใหญ่ ไม่หรอก กูมีแต่เห่าอยู่นี่ กูเห่าเพื่อเตือนประชาชนว่า ของมึงหายนะ หัวใจพวกมึงหายไปแล้ว หัวใจพวกมึงโดนขโมยไปหมดแล้ว กูเห่าอยู่ทุกวันนี้ หัวใจของพวกมึงไม่อยู่กับตัว หัวใจของพวกมึงโดนเขาขโมยไปแล้ว เอวัง